ตรงส่วนนี้ พวกเราส่วนใหญ่แล้วมีประสบการณ์ ก็คือ จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก แล้วถ้ายิ่งไปอยากได้คืน ก็ยิ่งได้คืนยากมาก เพราะว่าตัวอยากเป็นความฟุ้งซ่าน ยิ่งอยากมากเท่าไร กำลังใจก็ไม่มีทางทรงตัวมากเท่านั้น
เราต้องวางกำลังใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนกำลังใจจะทรงตัวหรือไม่ทรงตัวก็ช่างเถอะ ถ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็จะกอบกู้กำลังใจคืนมาได้ แต่แล้วก็จะประสบพบเหตุที่กำลังใจตกแบบนี้อยู่เนือง ๆ จนกว่าเราจะสามารถเอาชนะกำลังใจไปได้ในระดับหนึ่ง
ถ้าหากว่าถึงตอนนั้นแล้ว ก็เหมือนกับเรามีพื้นฐานรองรับ จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ขนาดไหนก็ตาม จะไม่เกินกว่าพื้นฐานตรงนั้น แล้วสามารถกอบกู้กำลังใจคืนมาได้เร็วมาก แต่ว่าในระยะแรกเริ่ม ต้องยอมเหนื่อยในการที่จะซักซ้อมกำลังใจของเรา ให้ทรงตัวให้ได้ในทุกอิริยาบถ ไม่เช่นนั้นแล้วถึงเวลาเผลอเมื่อไร พอขยับตัวแล้วสมาธิเคลื่อน กิเลสก็กินเราแล้ว
การที่เราจะต่อสู้เพื่อชนะกิเลส เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติตั้งแต่โบร่ำโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ต้องทุ่มเทอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่สักแต่ว่าปฏิบัติธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็จะสามารถชนะกิเลสได้ ต้องตั้งใจจริง ใช้ความเพียรพยายามในการปฏิบัติ ทุ่มเทชนิดสุดกำลังกาย สุดกำลังใจ ขนาดนั้นแล้วหลายต่อหลายท่านก็ยังไปได้ไม่ถึงไหน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเกิดจาก ๒ อย่างด้วยกัน
อย่างแรกก็คือทำผิด คำว่าผิด ในที่นี้คือผิดวิธี เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติธรรมจะให้ได้ผลนั้นต้องเป็นมัชฌิมาปฎิปทา คือทางสายกลาง ทุ่มเทมากเกินไปก็ไม่ได้ผล ย่อหย่อนมากเกินไปก็ไม่ได้ผล แล้วที่สำคัญที่สุด ทางสายกลางนี้ไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาของแต่ละท่านที่สั่งสมมา กำลังใจสูงก็มาตรฐานสูง กำลังใจต่ำก็มาตรฐานต่ำ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2021 เมื่อ 03:28
|