เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติทุกรูปแบบนั้น จะต้องประกอบไปด้วยอุเบกขาเป็นอารมณ์สุดท้าย ถ้าหากว่าไม่มีอุเบกขารมณ์อยู่ด้วย ท่านทั้งหลายจะไม่มีโอกาสเข้าถึงที่สุดของการปฏิบัติธรรมขั้นนั้น ๆ
อย่างเช่นว่าในการที่เราจะทรงปฐมฌานให้ได้นั้น ก็ต้องประกอบไปด้วย
วิตก คือ คิดนึก ตรึกอยู่ว่าเราจะภาวนา
วิจาร กำหนดรู้ว่าลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาว่าอย่างไร ลมหายใจกระทบกี่ฐาน เป็นต้น
ปีติ มีความรู้สึกสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นใน ๕ อย่าง เช่น ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง ลอยขึ้นทั้งตัว หรือว่าตัวพองตัวใหญ่ ตัวแตกตัวระเบิด เป็นต้น
สุข มีสุขความเยือกเย็นอย่างที่ไม่สามารถจะบอกกล่าวเป็นภาษามนุษย์ได้ว่ามีความสุขสบายขนาดไหน
แล้วถึงจะเป็นเอกัคตารมณ์ คืออารมณ์ใจที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว คำว่าตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ในที่นี้ก็คือเป็นอุเบกขา ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์กลาง ๆ ที่นิ่งอยู่ สงบอยู่
ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำกำลังใจไว้ว่า เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็น จะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน ท่านทั้งหลายก็จะเข้าถึงคำว่าอุเบกขาได้ เพราะคำว่าเป็นหรือไม่เป็น ได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน ก็คืออารมณ์อุเบกขานั่นเอง
ดังนั้น...ในส่วนที่ท่านทั้งหลายเพียรพยามยามมานาน บางคนใช้เวลาถึงหลายสิบปีแล้วยังไม่ได้อะไร ขอให้ท่านมาพิจารณาใหม่ว่า ขาดอุเบกขาในการปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าขาด ก็จงทำให้มีตามอย่างที่ได้บอกกล่าวไปแล้วข้างต้น
สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2022 เมื่อ 04:09
|