ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 06-12-2021, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,592
ได้ให้อนุโมทนา: 151,767
ได้รับอนุโมทนา 4,411,871 ครั้ง ใน 34,182 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างเช่นว่าโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าซิ่น นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ที่ชุมชุนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุนได้ทำขึ้นนั้น ตอนนี้ออกอีสานไปแล้ว ที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนนำเลย ของเขาจะทำกันทุกวันจันทร์ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าหากว่านักท่องเที่ยวใส่บาตรเช้าวันอาทิตย์ที่วัดท่าขนุนเสร็จ ถ้าขับรถยาวไปเลย ก็ไปใส่บาตรเช้าวันจันทร์ที่ศรีสะเกษได้ทัน ประมาณนั้น อันนี้พูดเล่นนะ..! ก็คือท่านก็คงต้องการให้นักท่องเที่ยวมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ศรีสะเกษบ้าง

ของเราเองนั้นก็ไม่ใช่ต้นแบบ ต้นแบบจริง ๆ ก็คือถนนสู้ศึกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของเขาเองมีพระเณรรวมแล้วแค่ ๑๐ รูป ยังสามารถจัดโครงการให้นักท่องเที่ยวใส่บาตรได้ทุกวัน แล้วพระเณรของเราจะท่วมวัดตาย..! ตั้งสี่ห้าสิบรูป..ทำไมเราจะจัดไม่ได้ ? เมื่อเห็นปุ๊บผมก็สั่งจัดตามปั๊บเลย กลายเป็นว่ากำลังติดตลาด เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็ระเบิดขึ้นมาพอดี ก็อาจจะทำให้โครงการเงียบเหงาลงไปหน่อยหนึ่ง

ช่วงนี้ก็เริ่มฟื้นตัวกลับคืนมา ท่านจะเห็นว่านอกจากวันอาทิตย์แล้ว เมื่อเช้าเขาก็ยังมาดักใส่บาตรกัน เพราะรู้ว่าพระต้องเดินผ่านตรงจุดนั้น ในเมื่อนักท่องเที่ยวมาใส่บาตร สินค้าของเราก็ขายได้ เพราะว่าร้านค้าชุมชนก็อยู่บริเวณเดียวกัน

เรื่องของการช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ญาติโยมเขา ก็คือการพึ่งพาอาศัยกันขององค์กรพุทธบริษัท ๔ ของพระพุทธเจ้า ถ้าพวกท่านสังเกต จะเห็นว่าพุทธบริษัท ๔ นั้นแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายอนาคาริกะ คือผู้ไม่มีบ้านเรือนแล้ว ได้แก่ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี เป็นต้น ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมให้ได้ผล คนที่ทำได้ผลแล้วไปบอกกล่าวผู้อื่น จะบอกแบบง่ายและทำได้จริง ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดว่า คาดว่า แล้วก็ลองผิดลองถูก

เมื่อนำไปบอกแก่ฝ่ายอาคาริกะ คือผู้ครองเรือน ได้แก่ อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งต้องวุ่นวายกับการมีครอบครัว ต้องทำมาหากิน แต่ก็สนับสนุนฝ่ายอนาคาริกะด้วยการถวายปัจจัย ๔ ให้ดำรงชีวิตได้ เมื่อได้หลักการปฏิบัติแบบง่ายไป ก็สามารถที่จะปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนเองได้เช่นกัน

ดังนั้น...ในองค์กรพุทธบริษัท ๔ จึงเป็นไปแบบ "น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย" การที่เราอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่ญาติโยม ไม่ว่าจะรอบวัดหรือสถานที่อื่น ก็คือการประคับประคององค์กรทางพุทธศาสนาของเรา ให้ขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระเป็นเณรแล้ว ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับการทำมาหากินของญาติโยมเขา แต่เป็นหน้าที่ซึ่งเราต้องทำเลย..!

แต่ก่อนที่เราจะทำหน้าที่เหล่านั้น เราต้องทำการชำระใจของตนเองให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เสริมสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปผจญกับงาน ซึ่งก็คือการผจญกับคนที่มีสารพัดกิเลส เราจะได้มีกำลังเพียงพอที่จะสู้กับงานทั้งหลายเหล่านั้นได้

วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2021 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา