ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 05-12-2021, 23:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,826 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งทางราชการได้มีการบำเพ็ญกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เอกชนอื่น ๆ ก็ทำกัน อย่างแถวทองผาภูมิของเราก็มีการทำอาหารแจกฟรี พวกเราคงไม่ได้ไปกินกันหรอกนะ ไม่รู้เขาแจกตรงไหน..ใช่ไหม ?

ความจริงในเรื่องของวันพ่อหรือว่าวันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่เราควรจะให้ความสำคัญกับพ่อแม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ๓๖๕ วันให้ความสำคัญกับท่านแค่วันเดียว เป็นสิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญแก่ท่านทุกวัน ถ้าหากว่าบางท่านสวดมนต์แปล ก็จะมีบท "พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน" พูดง่าย ๆ ก็คืออีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว..!

กระผม/อาตมภาพเองดูแลพ่ออยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน ดูจนตายคามือ..! ดูแลแม่อีก ๓ ปี ตอนที่ดูแลนั้นไม่ได้คิดจะดูแล แต่โดนบังคับ เพราะตอนดูแลพ่อ พี่น้องทั้งหมดชี้นิ้วมาว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน..!" เพราะว่ายังเรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมปีที่ ๕ พอถึงคิวดูแลแม่ ทุกนิ้วก็ชี้มาว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน..!" สรุปแล้วเป็นความผิดของกู..! ใช่ไหม ?

ตอนที่ทำหน้าที่ ก็ไม่ได้คิดที่จะทำจากน้ำใสใจจริง แต่ทำเพราะว่าได้รับมอบหมายแกมบังคับมา แต่โดยนิสัยของตนเองก็คือ ถ้าทำอะไรแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด ก็เลยเต็มที่กับงานที่ตนเองได้รับมอบหมาย แต่พอสิ้นพ่อสิ้นแม่ไปแล้ว มีความรู้สึกว่าตัวเราโชคดีมาก ที่ได้ทำในสิ่งที่พี่น้องทั้งหมดไม่ได้ทำ คือตอนนั้นรู้สึกว่า "ทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ..!?"

แต่หลังจากที่ท่านสิ้นไปแล้ว มีความรู้สึกว่า "ทำไมกูโชคดีอย่างนี้วะ..!?" เป็นคนละอารมณ์ความรู้สึกกัน เพราะเชื่อว่าก็คงไม่มีใครที่จะทุ่มเทดูแลพ่อแม่ได้มากไปกว่านี้ หรือว่าดีไปกว่านี้ และในส่วนของการดูแลท่านทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละ ทำให้สามารถฝึกกรรมฐานได้โดยไม่ได้ตั้งใจ

เพราะว่าโยมพ่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ทุก ๓ นาที ๕ นาทีต้องนวดให้คลาย ไม่อย่างนั้นก็จะเจ็บปวดทรมานมาก น่าจะเป็นอาการทางสมอง คราวนี้ก็แปลว่าต้องตื่นทั้งคืน แล้วก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ก็ต้องแบกร่างกายโทรม ๆ ไปโรงเรียน พอชั่วโมงไหนถ่างตาไม่ไหว ก็ยกมือขออนุญาตคุณครูว่า "ครูครับ..ขอนอนครับ..ผมไม่ไหวแล้วครับ..!"

สมัยก่อนนั้นครูบาอาจารย์ทุกคนจะรู้สภาพของครอบครัวลูกศิษย์เป็นอย่างดี คุณครูก็เลยบอกว่า "เธอนอนได้ แต่วิชานี้ห้ามตกนะ..!" จึงมีวิธีเดียวก็คือ ทำอย่างไรที่เรานอนแล้วหูจะได้ยิน เพราะถ้าหูได้ยินจะจำได้แน่นอนจึงต้องตั้งใจฟังทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่ กลายเป็นคนที่ฝึกกรรมฐานได้โดยไม่ได้เจตนาตั้งแต่เด็ก ก็คือต่อให้หลับอยู่ก็ได้ยินเสียงรอบข้าง เพียงแต่ว่าจะสนใจหรือไม่เท่านั้น

ถ้าหากว่าเราสนใจก็จะคลายสมาธิออก ความรู้สึกก็จะยื่นขยายออกไปรับรู้ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าหมดความสนใจ ก็กลับเข้ามาหาสมาธิเดิมของตนเอง ก็คือหลับ แต่เป็นการหลับแบบที่รู้ตัวว่าเรากำลังหลับ

เรื่องพวกนี้มาได้ประโยชน์อย่างมหาศาลในสมัยที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกกรรมฐาน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองฝึกได้มาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้นั้นเป็นกรรมฐานในระดับที่สูงมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-12-2021 เมื่อ 01:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา