สำนวน "หญ้าปากคอก" นี่เกิดจากคนโบราณเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย พอถึงเวลาตอนเช้า เปิดคอกให้วัวควายออกไปหากิน ด้วยความที่หิวมาทั้งคืน เมื่อเปิดคอกก็ชิงกันเบียด ชิงกันออก ในเมื่อตัวหลังดันมา ต่อให้หญ้าตรงปากคอกงามขนาดไหนก็ตาม วัวควายนั้นก็ไม่มีเวลากิน จะโดนตัวหลังเบียดกระแทกจนกระทั่งขึ้นหน้าไป แล้วด้วยนิสัยของวัวควายก็คือจะรีบเดินตามตัวหน้า
ในเมื่อตัวหน้ามุ่งตรงไป ตัวเองก็ตามไปด้วย ทำให้มองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้แค่ปากคอก หรือว่าเรื่องสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวไป จนกระทั่งกลายเป็นสำนวนว่า "หญ้าปากคอก" ก็คืออยู่ใกล้แค่นั้น แต่ไม่มีโอกาสได้กินได้ใช้เสียที
พวกเรานักปฏิบัติส่วนหนึ่งก็มักจะมองข้ามอานาปานสติไป ทั้ง ๆ ที่อานาปานสติหรือว่าลมหายใจเข้าออก เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง ถ้าไม่มีอานาปานสติ กรรมฐานทุกกองไม่สามารถที่จะทรงตัวได้ อย่างเก่งเต็มที่ก็แค่ปฐมฌาน แล้วเป็นปฐมฌานหยาบด้วย หลังจากนั้นถ้าไม่มีสมาธิมาค้ำจุนก็จะพังไปได้ง่าย ๆ
อานาปานสติจะสนับสนุนให้กรรมฐานทุกกอง สามารถที่จะทรงฌาน ๔ หรือว่าสมาบัติ ๘ ได้ จึงไม่ใช่ "หญ้าปากคอก" ที่พวกเราจะมองข้าม แต่เป็นสิ่งที่พวกเราต้องยึดอยู่ในลักษณะของเส้นเชือกช่วยชีวิตเลย เหมือนกับคนตกเหวแล้วคว้าเถาวัลย์เอาไว้ได้ ต้องเกาะแน่นสุดชีวิตขนาดไหนก็ประมาณนั้น..!
เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่มีกำลังของอัปปนาสมาธิระดับปฐมฌานละเอียดเป็นต้นไป เราก็จะไม่มีกำลังสู้กับกิเลส ก็แปลว่าอย่างน้อย ๆ พวกเราจะต้องภาวนาจนทรงปฐมฌานละเอียดเป็นอย่างต่ำ สูงกว่านั้นต้องแล้วแต่วาสนาบารมีและความพากเพียรพยายามของแต่ละคน
เพียงแต่ว่าในส่วนที่เราทำได้แล้วนั้น ผลข้างเคียงที่ดีอย่างหนึ่งก็คือเรามีสติมั่นคงขึ้น สมาธิยิ่งหนักแน่นเท่าไร สติยิ่งแหลมคมว่องไว จนถึงขนาดสามารถรู้เท่าทันกิเลสที่เข้ามาในใจของเรา ซึ่งเร็วพอ ๆ กับสายฟ้าแลบ เพราะว่าถ้าสติสมาธิของเราไม่เพียงพอ ไม่สามารถที่จะกันกิเลสเอาไว้ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-12-2022 เมื่อ 02:55
|