ทุกวันนี้ทำไมเราถึงไปยุ่งกับ รัก โลภ โกรธ หลง ครับ ? ก็เพราะว่าเราไปนึกคิดปรุงแต่ง สมมติว่าเห็นเพศตรงข้ามเดินมา หน้าตาอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้ สเป็คของเราเลย ราคะก็เจริญงอกงามสิครับ ทำอย่างไรเราจะสักแต่เห็นว่าเป็นรูป สักแต่เห็นว่าเป็นธาตุ เป็นเรือนร่างที่อาศัยอยู่ตามกรรมชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาก็ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างพังไป
เวลาจะเกิดโทสะขึ้น ทำอย่างไรที่เราจะรู้เห็นว่าสิ่งนี้มีแต่โทษ ในเมื่อมีแต่โทษ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งตัวเขาและตัวเรา ถ้าสติปัญญารู้เท่าทัน เราก็จะระงับโทสะได้ เป็นต้น
ดังนั้น..สำคัญที่สุดก็คือ "อย่าไปคิด" ครับ แล้วเราจะหยุดคิดได้อย่างไร ? เราก็ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า หรือถ้าปฏิบัติมาตามสายพองยุบ ก็คืออยู่กับพองยุบของเรา อย่าให้หลุดไปไหน หลุดไปเมื่อไร คิดเมื่อไร ก็จะก่อความเดือดร้อนให้กับเราทันที
ดังนั้น..ในขันธ์ ๕ ที่บอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาวิปัสสนาญาณ
รูป คือร่างกายเรานี้
เวทนา คือความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือว่ากลาง ๆ
สัญญา คือความรู้ได้หมายจำ
สังขารนี่แหละครับ..สาหัสที่สุด ความนึกคิดปรุงแต่ง เขาเรียกว่า "จิตสังขาร" ครับ การปรุงแต่งของใจ
ท้ายที่สุด วิญญาณ คือการรับความรู้สึก ถ้าเป็นหมอสมัยใหม่ก็บอกว่าเป็นเส้นประสาท
ทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปนึก ไม่ไปคิด เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ระมัดระวังไม่ให้เข้ามาในใจของเรา ถ้าท่านทั้งหลายทำได้ ชีวิตนี้จะมีความสุขมากขึ้นมหาศาลเลยครับ
นอกจากเรายอมรับว่าร่างกายนี้มีความทุกข์เป็นธรรมดา แต่เราก็ยังต้องทนกับความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้อยู่ แต่เมื่อเราเห็นว่าธรรมดาของร่างกายนี้ เรามาอาศัยอยู่แค่ชั่วคราว ถ้าเปรียบกับระยะเวลาอันยาวนานของวัฏสงสาร ก็เหมือนแค่ลืมตาขึ้นแล้วหลับตาลงเท่านั้นเอง ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แค่นี้ ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ ?
ก็เป็นเรื่องของการที่พระพุทธเจ้าสอนเรา เพื่อให้เกิดปัญญา ถ้าเป็นสมัยใหม่เขาเรียกว่าเกิดมุมมอง คือ Vision หรือทัศนคติ ว่าจะจัดการกับชีวิตอย่างไรถึงจะถูกต้อง ? โดยเฉพาะท้ายที่สุด ทำอย่างไรถึงจะละวางลงได้อย่างสิ้นเชิง ?
ถ้าไม่มีคำถาม กระผม/อาตมภาพก็ขอโอกาสนี้ตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านทั้งหลายเคารพนับถือ ตลอดจนคุณงามความดีที่ท่านทั้งหลายได้สร้างมา จงรวมกันเป็นตบเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบแต่ความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ ทุกท่านทุกคนเทอญ
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ธรรมบรรยาย "วิชากรรมฐาน สำหรับนิสิตบัณฑิตศึกษา"
วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2022 เมื่อ 02:26
|