วันนี้กระผม/อาตมภาพได้เซ็นอนุญาตให้ Pada ชื่อจริงก็คือนางสาวฌานิยา ลิขิตกุล นำเอาเนื้อหาเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเทศน์ การเขียนในเว็บวัดท่าขนุน ไปเผยแพร่ได้ แต่ต้องไม่เป็นไปเพื่อการพาณิชย์
แต่ก็ยังมีหลายคนที่พยายามอวดฉลาดว่า กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไว้นานแล้วว่าเรื่องของธรรมะไม่หวง ใช่...ไม่หวง แต่มึงควรที่จะมีมารยาทบ้างไหม ? ไม่ใช่ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เขาไม่หวงของในบ้าน แล้วมึงก็เดินเข้าไปหยิบใช้สบายใจเฉิบ ช่วยบอกสักคำได้ไหม ? ความมีมารยาท ความมีกาลเทศะ ไปอยู่ที่ไหนหมด ?
โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพไม่หวง แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเปิดเว็บเพจ เปิดเฟซบุ๊ก เปิดเว็บไซต์ เขาจะไม่หวงไปด้วย เพราะถ้าหากว่ากิเลสเท่ากัน หรือกิเลสมากกว่าคุณ คุณอาจจะเดือดร้อน ก็เลยเอาตัวอย่างที่ทางวัดท่าขนุนขออนุญาตนำเรื่องของท่านอาจารย์วศิน อินทสระก็ดี ท่านอาจารย์แสง จันทร์งามก็ดี มาลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุนว่า เรามีการทำหนังสือขออนุญาต เมื่อได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องแล้ว ยังต้องมีหนังสือขอบคุณอีกต่างหาก
เรื่องพวกนี้เป็นมารยาทในสังคม ถ้าคุณจะไปอ้างว่า คุณอยู่ในสังคมโดยไม่ต้องใช้มารยาทก็ได้ ผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าคุณเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริง คุณมาสนใจอะไรกับมารยาทของผม ไอ้นั่นก็ควายอีก..! ก็ในเมื่อเราอยู่ร่วมกับคนอื่น แล้วดันไปทำตัวเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น
อย่างบางคน พ่อท้วงบอกว่าผมยาวเกินไป ไปตัดผมซะบ้าง ก็ยังอุตส่าห์เถียงพ่อว่า "ผมอยู่บนหัวของผม พ่อเป็นนักปฏิบัติธรรม มายุ่งอะไรกับตัวผมด้วย" ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกว่าปล่อยวางแบบวางลงบนกบาลคนอื่น..!
ตราบใดที่ตัวคุณยังอยู่ในสังคม ก็โปรดเกรงใจสังคมเขาบ้าง ไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง การทำตามใจตัวเองโดยไม่ดูกาลเทศะ ก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง
โดยเฉพาะสมัยนี้พวกเกรียนคีย์บอร์ดมีเยอะ แสดงความคิดเห็นอะไรผิดพลาดหน่อยเดียว ก็โดนถล่มจนไม่มีที่จะไป แล้วมาคุยว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่กำลังใจหยาบจนไม่รู้ว่ากาย วาจา ใจ ตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเท่าไร คิดอยู่อย่างเดียวว่ากูทำแบบนี้แล้วถูก
ตราบใดที่เรายังสร้างกรรมอยู่ การที่จะตัดวิบากกรรม เพื่อที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เป็นเรื่องที่ยากมาก จึงต้องพยายามลดกรรมใหม่ให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้มีเวลาชดใช้กรรมเก่า ไม่ใช่สร้างหนี้เพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน
ถ้าหากว่าเราหยุดสร้างกรรมใหม่ ขัดเกลาจิตใจของเราที่มืดบอดด้วยกรรมเก่า ทำไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดดวงจิตก็ผ่องใสพอที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล ไม่ใช่มีแต่ กาย วาจา ใจ เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นตลอด แล้วไปหวังมรรคหวังผล จะบอกว่าชาติหน้าบ่าย ๆ จะได้ก็เกรงใจ น่าจะนานกว่านั้นมาก..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกเล่าแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2022 เมื่อ 03:35
|