เนื่องจากว่าระยะประมาณ ๒ ปีเศษที่ผ่านมา เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นมา ทำให้ไม่มีการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมใหม่ ทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรมก็ไม่ได้จัดสรรงบประมาณในการทำงานมาให้ เกือบทุกแห่งจึง "เข้าเกียร์ว่าง" กันหมด
แต่ว่าของสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมินั้น กระผม/อาตมภาพไม่เคยรองบประมาณหลวง งานการทุกอย่างทำไปเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อญาติโยมในพื้นที่ ทำไปเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสียสละ ทำไปโดยไม่ต้องรองบประมาณ ไม่เช่นนั้นแล้วงานไปไม่ได้ ญาติโยมทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะจำหน่ายจ่ายแจกสิ่งของต่าง ๆ ได้ เงินหมุนเวียนไม่เกิดขึ้น เศรษฐกิจก็ไม่ดี
แต่ว่าปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นระดับสภาวัฒนธรรมตำบล หรือว่าสภาวัฒนธรรมอำเภอ มักจะกลายเป็นที่รวมของนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งต้องการเอาไว้เป็นฐานเสียงในการเลือกตั้งของตน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าคณะกรรมการที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้ามา เป็นคู่แข่งกันในท้องถิ่นสภานั้น ๆ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่จะทำ ถ้าเกิดผลดี ส่งผลต่อคะแนนเสียงของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะโดนเตะสกัด โดนเตะถ่วงเป็นปกติ
ในเมื่อปราศจากความเสียสละ ก็คือไม่มีจาคะ งานการต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะไปได้ โดยเฉพาะที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ตรัสเอาไว้ว่า ต้องเสียสละประโยชน์สุขส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์สุขส่วนใหญ่ของบ้านเมือง
แต่ก็ยังดีว่าในวันนี้ที่ไปนั่งร่วมประชุม นอกจากมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นในหลายส่วนแล้ว ส่วนหนึ่งก็คือ เป็นตัวอย่างที่เขายกให้แก่ในที่ประชุมว่า การทำงานในด้านนี้ เราต้องเสียสละอย่างไรบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วในปัจจุบันนี้ สิ่งต่าง ๆ ที่สภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิทำไป ต้องบอกว่า "ล้ำหน้า" สภาวัฒนธรรมอำเภออื่นทั้งประเทศ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2021 เมื่อ 03:12
|