พระองค์ท่านบอกว่า เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงนำมาจำแนก นำมาแยกแยะ นำมาบัญญัติ นำมาก่อตั้ง จัดเป็นหมวดหมู่ ทำของยากให้ง่าย แล้วก็นำมาสั่งสอนเราท่านทั้งหลาย
คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายจะเป็นครู จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม อันดับแรกเลยก็คือ เพื่อพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราเอง เมื่อพัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะก่อเกิดเป็นคุณงามความดีเฉพาะตัว แล้วมีคนอยากทำตาม
พระภิกษุสามเณรของเราก็คงอยากจะมีชื่อเสียง มีเกียรติคุณ ถ้าเป็นฝ่ายปฏิบัติก็อยากจะเหมือนกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ้าหากว่าเป็นทางด้านปัจจุบัน ที่เรียกกันว่า "สายมู" คือทางไสยเวทย์วิทยาคมต่าง ๆ เราก็อยากจะโด่งดังเหมือนกับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ (พระเทพวิทยาคม) แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อท่านทั้งหลายต้องพากเพียรทำด้วยตนเอง
คราวนี้การที่เราจะมีความเพียรมาก ความเพียรน้อย เกิดจากการสั่งสมความดีมาตั้งแต่ต้น มีทั้งในส่วนของปุพเพกตปุญญตา คือบุญเก่าที่เราทำมาในชาติก่อน ๆ แล้วก็มีส่วนที่เรามาสร้างเสริมในชาติปัจจุบันนี้ สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำไป เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะเหมือนกับดอกบัวที่พ้นน้ำขึ้นมา พอกระทบแสงแดดก็เบ่งบานได้ เพียงแต่ว่าในระหว่างนั้น เราต้องพากเพียรสั่งสมคุณงามความดีของเราไปเรื่อย ๆ ความรู้ทางโลกเราก็ศึกษา ความรู้ทางธรรมเราก็อย่าได้ละทิ้ง
บุคคลที่จะเป็นครูนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่า ต้องมีกัลยาณมิตรธรรม ๗ ประการ ประกอบไปด้วย
ปิโย ความน่ารัก น่าเคารพนับถือ
ครุ มีความหนักแน่นมั่นคง อารมณ์ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ "ปรี๊ดแตก" ง่าย..!
ภาวนีโย เป็นผู้ใฝ่หาความเจริญ ศึกษาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
วัตตา เป็นผู้รู้จักใช้คำพูด รู้จักให้กำลังใจลูกศิษย์ รู้จักสั่งสอน ไม่ว่าจะใช้คำพูดหนักคำพูดเบาอย่างไร ก็ต้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์
วจนักขโม ทนปากชาวบ้านได้ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเราลำบากมากครับ เราอยู่ในสายตาชาวบ้านตลอดเวลา ชาวบ้านมีข้อเรียกร้องต่อเราสูงมาก ครูบาอาจารย์หญิงชายทั้งหลายก็เหมือนกันครับ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2022 เมื่อ 04:34
|