ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 15-09-2013, 17:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องจากว่าสภาพจิตในตอนกลางวัน เราพยายามจะบีบคั้น ตีกรอบให้จิตของเราอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ตลอดเวลา สภาพจิตก็พยายามดิ้นรนหาทางออก ในเมื่อสมาธิทรงตัว เวลากลางวันเขาทำอะไรเราไม่ได้ ก็กลายเป็นว่าตอนกลางคืนก็มาในรูปแบบของความฝัน

ตอนกลางวันรักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ มดสักตัวก็ไม่กล้าเหยียบ ไม่กล้าบี้ แต่กลางคืนกลับฝันว่านำทหารออกรบ ฆ่าเขาตายเป็นกองทัพเลย..! ลักษณะอย่างนี้สภาพจิตของเราตอนกลางคืนก็จะมัวหมอง เนื่องจากว่าสภาพของการละเมิดศีลมีปรากฏขึ้น แม้เป็นในฝันก็ทำให้สภาพจิตของเรามัวหมองได้ จึงต้องพยายามฝึกหัดภาวนาจนกระทั่งเกิดสติ เมื่อมีสติสมบูรณ์ จะหลับหรือตื่นเราก็มีความรู้สึกเท่ากัน คือถึงร่างกายจะหลับ สภาพจิตก็ตื่นอยู่ สามารถระมัดระวังไม่ให้กิเลสมากินเราตอนหลับได้

ถ้าทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ มีการปฏิบัติที่ต่อเนื่องกัน ไม่เว้นระยะให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาทำให้ใจของเราต้องมัวหมองลง ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีขึ้น ดังนั้น..ที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติภาวนาไปแล้ว หลายท่านก็มาถามว่า ทำไมปฏิบัติมาหลายปีแล้วไม่มีความก้าวหน้าเลย ? ก็ต้องบอกว่า เป็นเพราะเราทำแล้วทิ้ง ในเมื่อเราทำแล้วทิ้ง ไม่ได้ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ถีงเวลากิเลสก็กลบกลืนไปหมด เท่ากับเราต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อยู่ทุกครั้ง

เหมือนอย่างกับเราปัดกวาดเช็ดถูสถานที่หนึ่งจนสะอาด แต่ปรากฏว่าถึงเวลาแล้ว แล้วบรรดาขยะต่าง ๆ โดนลมหอบลงมาในสถานที่นั้นอีก ก็สกปรกใหม่ จำเป็นที่จะต้องขยันปัดกวาดวันละหลาย ๆ รอบ สภาพจิตของเราก็เช่นกัน เมื่อถึงเวลามัวหมองด้วยกิเลส เราก็ต้องขัดถูให้ผ่องใสขึ้นมาใหม่ พยายามที่จะรักษาความผ่องใสนั้นเอาไว้ให้ได้ตลอดทั้งวัน และถ้าเป็นไปได้ก็คือตลอดทั้งคืนด้วย เมื่อหลับและตื่นเรามีสติรู้เท่าทัน กิเลสกินใจของเราไม่ได้ นานไป ๆ สภาพกิเลสที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ สภาพจิตที่ผ่องใสมากขึ้นทุกที ๆ ท้ายที่สุดกิเลสก็จะโดนกลบกลืนสูญสลายไป ไม่สามารถที่จะปรากฏขึ้นมาใหม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 18:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา