เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า เกิดจากการที่คนไทยเราห่างวัดห่างวา สมัยกรุงศรีอยุธยาบุคคลที่จะรับราชการ ถ้าไม่ผ่านการบวชเรียนมาก่อน ในหลวงไม่รับเข้ารับราชการ ถือว่ายังเป็น "คนดิบ" ไม่ได้ผ่านการขัดเกลามาก่อน แต่ปัจจุบันนี้ความสำคัญในการบวชลดน้อยถอยลงไปเรื่อย เนื่องจากการเร่งรัดของการทำมาหากิน จากที่เคยบวชเป็นพรรษา เดี๋ยวนี้ถ้าได้ ๗ วัน ๑๐ วัน พ่อแม่ก็คงดีใจน้ำตาไหลแล้ว
สมัยก่อนเขากำหนดไว้ว่า ต้องบวชแล้วถึงจะเบียดได้ เพราะมีความเข้าใจผิดว่า ถ้ามีภรรยาก่อนแล้วค่อยบวช อานิสงส์ที่จะพึงได้จากการบวชจะตกอยู่ที่ภรรยา ไม่ได้ตกอยู่ที่พ่อแม่ นี่เป็นการเข้าใจผิด ความจริงแล้วก็คือ การที่พระภิกษุสามเณรบวชเข้ามาเป็นพรรษา ต้องรับแรงกระทบเยอะมาก เพราะว่าโดนตีกรอบด้วยศีล ๒๒๗ ข้อ สิ่งที่เคยทำก็ทำไม่ได้ อึดอัดขัดข้อง อกจะแตกตาย..! ถ้าสามารถทนสถานการณ์แบบนั้นจนผ่านพรรษาไปได้ เขาถือว่ามีวุฒิภาวะทางอารมณ์เพียงพอที่จะไปเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ ก็คือรู้จักระงับอกระงับใจ หักห้าม รัก โลภ โกรธ หลง ของตนเองเอาไว้ได้ แต่มาสมัยนี้การที่จะบวชระยะยาว ๆ น้อยลง คนเราได้รับการขัดเกลาจากวัดน้อยลง โอกาสที่จะเข้าใจผิด หรือว่าทำผิดทำพลาด ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อพระภิกษุสามเณรอย่างไรจึงมีมาก
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าทำอย่างไรที่จะให้ญาติโยมมีความเข้าใจเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ เรื่องของพระพุทธศาสนาให้ดียิ่งไปกว่านี้ เรื่องพวกนี้ก็คงต้องถวายให้กับพระเถระในระดับกุมนโยบายว่า ท่านมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยให้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ดีขึ้น
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และเจริญพรให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบเอาไว้แต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2021 เมื่อ 02:13
|