ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 16-08-2013, 20:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เรื่องของฤทธิ์ เรื่องของอภิญญาต่าง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะยึดถือมั่นหมาย การชำระกิเลสให้หมดไปจากใจของเราต่างหาก จึงเป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หนุนเสริมอยู่ เราก็ฉวยโอกาสใช้เป็นบันไดในการก้าวล่วงพ้นจากกิเลสไปเลย

ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถอนกำลังกลับ เรากลับมากลายเป็นบุคคลที่ไม่เอาไหนเหมือนเดิม ก็ไม่ต้องเสียดาย แต่ให้เกิดความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วทำได้ ปฏิบัติได้จริง ถ้าเรามีความเพียรพยายาม เราก็จะสามารถทำได้ถึงระดับนั้นได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยบุคคลอื่นเขา แล้วเราก็ใช้กำลังนั้นช่วยเหลือในการก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้ายังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระสกิทาคามีตอนปลาย หรือความเป็นพระอนาคามีแล้วไซร้ การที่จะมีคู่ครองนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เรื่องของคนเราที่เกิดมานั้น ไม่ว่าบุคคลใดก็ตามถ้าได้เกิดมาพบกัน องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสเอาไว้ว่า ก่อนนั้นต้องเคยมีความสัมพันธ์กันมา ไม่ฐานะใดก็ฐานะหนึ่ง อาจจะเกิดเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูกหลาน ญาติโยมก็ดี เป็นสามีภรรยา ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงที่รักใคร่กันก็ดี แรงกรรมทั้งหลายเหล่านี้เมื่อชักจูงไป ถึงวาระหนึ่งก็จะวนเวียนกลับมาแล้วได้เจอกันอีก

ดังนั้น..ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เรารู้ว่าเราปฏิบัติเพื่อหวังความหลุดพ้น ชีวิตคู่ทำให้หลุดพ้นได้ยาก เพราะมีสิ่งที่เกาะเกี่ยวมาก ถ้าเราตั้งเป้า ตั้งปณิธานเอาไว้ หวังความหลุดพ้นอย่างแท้จริง ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ข้องเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่บางท่านเมื่อพบกัน เจอกัน ความรู้สึกเก่า ๆ กลับคืนมา ฝ่ายหนึ่งเสนอ ฝ่ายหนึ่งก็ไปสนองยอมรับว่าใช่ เป็นอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะทำให้แรงกรรมเกิดขึ้น และรวบรัดอย่างเร็วมาก ก็จะทำให้แม้กระทั่งอยู่ในผ้าเหลืองก็ต้องสึกหาลาเพศไปอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่

แต่ถ้าเป็นชีวิตฆราวาส แทนที่จะดำเนินในทางของคน ๆ เดียว เพื่อที่จะได้ก้าวล่วงจากกองทุกข์ได้ง่าย เราก็จะไปดำเนินชีวิตของคนคู่ ซึ่งจะมีแต่การเพิ่มทุกข์ให้แก่ตัวเองมากขึ้น ๆ และในที่สุดอาจจะร้อยรัดเราจมอยู่กับห้วงวัฏสงสาร ไม่มีวันที่จะได้ก้าวล่วงไปอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา