“แต่อย่างสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ส่วนใหญ่กราบขอบารมีพระสงเคราะห์ ลงมาตูมเดียวสายอื่นหายเกลี้ยง..! เพราะว่าไม่มีกำลังอะไรจะสูงกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว แต่ด้วยความที่อาตมาศึกษามามาก ก็เลยไปตกอยู่ในลักษณะภาษิตโบราณที่ว่า ‘รู้มากก็ยากนาน’ รู้มากแล้วเสียดาย ของแต่ละอย่างกระแสต้องเป็นอย่างนี้..กำลังต้องใช้แบบนี้..จึงต้องช่วยจัดให้เขาไป อีกอย่างเป็นแบบนี้..ใช้แบบนี้..ทำแบบนี้..จัดให้เขาไป เสร็จพิธีตัวเองแทบจะสลบไสล..!
ต่อไปถ้ารำคาญขึ้นมาก็จะใช้วิธีของสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คืออาราธนาบารมีพระลงอย่างเดียวเลย ที่เหลือจะได้ไม่เหนื่อย ส่วนลงไปแล้วจะเหลืออะไรไม่เหลืออะไรก็เป็นเรื่องของเขา จึงขึ้นกับอยู่กับว่าตอนนั้นอารมณ์ดีพอที่จะไปค่อย ๆ จัดให้หรือเปล่า..?!
โยมลองนึกถึงด้ายที่พันกันอีรุงตุงนัง แล้วเราต้องค่อย ๆ ไปแกะจัดเรียงใหม่ ต้องใจเย็นมาก ค่อย ๆ จัด ค่อย ๆ เรียง ค่อย ๆ คลี่คลาย ให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามสายวิชาของครูบาอาจารย์ของเขา ถ้าหากว่าโยมไปดูในเว็บวัดท่าขนุน ที่อาตมาทำตารางครูบาอาจารย์ในสายธรรมเอาไว้ จะเห็นว่าครูมาก อาจารย์มาก ศึกษาวิชาการมากสาย..ก็เลยลำบาก
จึงขึ้นอยู่กับความขยันหรือขี้เกียจของแต่ละงาน ถ้าขยันมากก็จะทำให้ ถ้าหากว่าขี้เกียจมาก ครูบาอาจารย์ไม่มาสงเคราะห์ให้ ก็เหลือแต่พระอย่างเดียว ถือว่าเรายึดจุดสูงสุดเอาไว้ อย่างอื่นไม่ต้องใส่ใจ ถ้าอย่างนั้นก็จบเลย เอาอะไรมาก็กลายเป็นอานุภาพอย่างเดียวเหมือนกันหมด ความจริงก็ดีนะ..ง่ายดี แต่คนเอาไปใช้คงจะประสาทกินไปเลย..!”
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-10-2020 เมื่อ 01:44
|