ดังนั้น..เราจะเห็นว่าอัตตาธิปไตย การถือตนเป็นใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี ถ้าเราสังเกตแค่ในประเทศไทยของเรา เอาแค่ยุครัชกาลที่ ๕ นั่นเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นอัตตาธิปไตย ซึ่งปัจจุบันนี้มีคนบางจำพวกบอกว่าเป็นเผด็จการ ซึ่งถ้าหากว่าเราพิจารณาดูแล้ว ในยุคนั้นสมัยนั้น ประเทศไทยของเราเจริญที่สุดในอเชีย เจริญกว่าประเทศญี่ปุ่น ถึงขนาดที่ประเทศญี่ปุ่นต้องส่งช่างมาศึกษาวิชาการในบ้านในเมืองของเราทีเดียว..!
พอมาปัจจุบันเป็นระบอบประชาธิปไตย เราก็จะเห็นว่าเป็นประชาธิปไตยที่ชาวบ้านทั้งหลายแทบจะสาปส่ง เพราะว่าสิ่งที่เป็นความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชนไม่ได้รับการตอบสนอง
ดังนั้น..ไม่ว่าจะอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ก็ดี โลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ก็ตาม ก็สู้ธรรมาธิปไตย การถือธรรมเป็นใหญ่ไม่ได้ โดยเฉพาะว่า ถ้าไม่มีหลักธรรมประกอบแล้ว ระบอบต่าง ๆ ไม่มีทางที่จะเป็นไปด้วยดีเลย เพราะว่าบุคคลย่อมมี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ ถ้าหากว่าไม่สามารถควบคุม รัก โลภ โกรธ หลง ให้อยู่ในกรอบได้ ต่อให้ระบอบดีแค่ไหน ก็พาให้พังทลายลงไปในเวลาอันไม่นาน..!
สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2022 เมื่อ 01:42
|