๑๗. อย่าสนใจกับจริยาหรือปัญหาของผู้อื่น เพราะปัญหาของตนเองก็มากพอแล้ว ให้มองลงตรงกฎธรรมดา เรื่องของโลก เรื่องของคนที่ยังมีกิเลสอยู่ก็เป็นเช่นนี้แหละ แม้แต่พวกเจ้าเอง ตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ก็ยังได้ชื่อว่ายังมีกิเลสอยู่ จงอย่าคิดว่าตนเองดีแล้ว ตนเองสามารถแก้ปัญหาให้กับบุคคลอื่นได้ นั่นจัดว่าเป็นความหลง
ความจริงจักต้องพยายามแก้จริตของตนเองให้ได้ อย่าไปคิดแก้จริตผู้อื่น หนักตัวไหนก็ฟันตัวนั้นก่อน โดยอาศัยอริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา แต่ส่วนใหญ่มักเผลอไปถนอมกิเลส กลัวกิเลสจักเศร้าหมอง มัวแต่เกาะกิเลส ประคับประคองกิเลส ไม่กล้าสังหารกิเลส ให้มองลึกลงไป ที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ เพราะยังมีอาลัยอาวรณ์ในขันธ์ ๕ เป็นเหตุ กลัวความทุกข์ กลัวความลำบาก กลัวอดอยาก กลัวขาดเครื่องบำรุงบำเรอความสุขของร่างกาย มีความห่วงในร่างกายมากว่าห่วงสภาพของจิตใจ นักปฏิบัติตัดตัวนี้ไม่ได้ก็ไม่มีทางเอาดีได้
แล้วจงจำไว้ว่า จิตของใครก็ไม่สำคัญเท่าจิตของเรา และจิตของเราถ้าไม่รักษาให้มันมีความผ่องใส ใครที่ไหนจักมาช่วยรักษาให้มันผ่องใสได้นั้นไม่มี บางครั้งคนอื่นอาจจักทำให้เราชื่นใจ มีความสุขในคำสนทนาธรรม แต่นั้นไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงความสุขชั่วคราว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สุขนั้นอยู่ไม่นาน ไม่เหมือนกับเราปฏิบัติได้ด้วยตนเอง สุขทั้งกาย-วาจา-ใจ นั่นแหละจึงจักเป็นของจริงที่เลิศประเสริฐแท้ จำไว้..ตัวรู้ไม่ใช่ตัวปฏิบัติ ตัวปฏิบัติให้มรรคผลเกิดจริงตามตัวรู้ นั่นแหละจึงจักเป็นของจริง
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2014 เมื่อ 16:27
|