ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 24-10-2021, 23:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,784 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่คราวนี้ ขอให้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าจิตสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพาน เราจะไปพระนิพพานไม่ได้..! ใครทำยังไม่ถึง ก็ฟังเอาไว้เป็นเครื่องวัดตัวเอง เนื่องเพราะว่า ตราบใดที่เรายังเกาะสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ เราก็ไปไหนไม่รอด..!

เราบอกว่าเราจะไปกรุงเทพฯ แต่เรายืนกอดเสาอยู่ตรงนี้ เราย่อมไปกรุงเทพฯ ไม่ได้แน่นอน เรื่องของพระนิพพานก็เช่นเดียวกัน ถ้าใจเรายังเกาะพระ ยังเกาะพระนิพพานอยู่ เราไปพระนิพพานไม่ได้ เพราะว่าเรายังยึดเกาะ ก็เลยหลุดพ้นไม่ได้ แล้วเราจะไปพระนิพพานอย่างไร ? ตรงจุดนี้ถ้าท่านทำถึงจริง ๆ จะรู้เอง เพราะว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว จิตใจของเราจะปล่อยโดยอัตโนมัติ

หลายท่านบอกว่าปล่อยวาง ปล่อยวาง เรายึดเกาะอะไรไม่ได้ ขอให้รู้ว่านั่นบอกผิดแล้ว ถ้าเราไม่ยึดเกาะ เราจะไม่มีอะไรให้ปล่อย แต่การยึดเกาะนั้นก็คือยึดเกาะในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ยึดเกาะในสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล เมื่อยึดเกาะในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล สร้างบุญสร้างกุศลจนเต็มที่แล้ว สังเกตไหมว่าถ้าน้ำเต็มแก้ว ก็จะไหลล้นไปได้เอง เรื่องของกำลังใจในการเกาะความดีก็เหมือนกัน ถ้าดีถึงที่สุดแล้ว จะปล่อยดีไปเอง เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน พระนิพพานอยู่ในทุกที่ ตายเมื่อไรก็ไปพระนิพพานเมื่อนั้น..!

ดังนั้น...บรรดาพระอริยเจ้าทั้งหลายที่เป็นสุกขวิปัสสโก ไม่มีทิพจักขุญาณ ไม่มีความเป็นทิพย์ด้านอื่น ๆ ทำไมท่านถึงรู้ได้ว่าท่านสามารถเข้าพระนิพพานได้ ? ก็เพราะว่าถ้าท่านปล่อยวางได้จริง ๆ อารมณ์พระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของท่านเอง ตอนนั้นไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่นั่นก็คือพระนิพพาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2021 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา