ตัวที่ ๑ ขณิกาปีติ เป็นอาการปีติเล็กน้อย จะมีอาการขนไหว ลุกซู่ซ่าอยู่เป็นพัก ๆ บางทีก็เป็นวงกว้าง บางทีก็เป็นจุดแคบ แล้วแต่กำลังของผู้ที่ปฏิบัติได้และเข้าถึง
ตัวที่ ๒ เรียกว่าขุททกาปีติ มีน้ำตาไหล บางทีก็ไหลพราก ๆ ชนิดห้ามไม่อยู่
ตัวที่ ๓ เรียกว่า โอกกันติกาปีติ ร่างกายจะโยกโคลงไปมา บางทีก็ดิ้นตึงตังโครมครามเหมือนผีเข้าสิงไปเลย
ตัวที่ ๔ เรียกว่า อุเพ็งคาปีติ ภาวนาไปแล้วร่างกายสามารถลอยพ้นพื้นขึ้นมาได้ ลอยไปไกล ๆ ก็มี
ตัวที่ ๕ เรียกว่า ผรณาปีติ จะรู้สึกว่าตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรู มีสิ่งต่าง ๆ ไหลออกจากตัวซู่ซ่าไปหมด บางทีก็เห็นแสง เห็นสี เห็นภาพต่าง ๆ บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิดจนกลายเป็นจุณไปเลยก็มี
เรื่องของปีตินั้น เราจะพบเห็นได้ไม่เท่ากัน บุคคลที่มีวิสัยพุทธภูมิ ปรารถนาในพระโพธิญาณมาก่อน ต้องรู้ให้ครบเพื่อไปสอนเขาก็จะเจอปีติทั้ง ๕ ตัวเลย ผลัดกันมา สิ่งไหนที่มาแล้วเราสามารถก้าวล่วงก้าวข้ามไปได้ ก็จะไม่มาอีก แต่ถ้าหากว่าไม่ได้มาสายพุทธภูมิ เป็นสายสาวกภูมิธรรมดาทั่วไป บางท่านก็อาจจะก้าวผ่านไปโดยที่ไม่เจอปีติเลย อารมณ์ใจทรงเป็นฌานไปเลยก็มี บางท่านก็เจอปีติอย่างหนึ่ง บางท่านก็เจอสองอย่าง บางท่านก็เจอสามอย่าง น้อยรายที่จะเจอครบ ๕ อย่าง ถ้าหากว่าท่านเจอครบ ๕ อย่างแสดงว่าท่านมีเชื้อสายพุทธภูมิเก่ามาก่อน
เมื่อก้าวพ้นปีติตัวที่ ๑ ไปแล้ว จิตสามารถทรงฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ รวมทั้งอรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่พบกับปีติตัวที่ ๒ ที่ ๓ เลย เนื่องจากว่าเมื่อวาระที่ปีติจะเข้ามาเพื่อให้เรารับรู้ว่ามีอาการอย่างไรนั้น ต่อให้ท่านทรงสมาบัติ ๘ อยู่ อยู่ ๆ กำลังก็จะลดลงมา เหลือแค่ประมาณอุปจารสมาธิเพื่อให้เราได้รู้ว่า ตอนนี้...เดี๋ยวนี้ตัวปีติได้เข้ามาถึงแล้ว ปีติแต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไรจะได้รู้และจดจำไว้ เพื่อไปบอกไปสอนคนอื่นเขาต่อ เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-11-2009 เมื่อ 14:28
|