คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายลากลับบ้าน ขอให้สังเกตว่า เมื่อเรากลับมาวัดแล้ว ยังฟุ้งซ่านถึงเรื่องที่เราลาไปอีกกี่วัน ? กว่าที่จะสามารถทำใจของตัวเองให้สงบได้เหมือนตอนที่ก่อนออกจากวัด แล้วท่านก็จะรู้ว่า จริง ๆ แล้วเราเองอยู่ในที่ปลอดภัยแท้ ๆ กลับยื่นหัวออกไปให้กิเลสตีกบาลเอง..!
เพราะว่าเรื่องทั้งหมดที่ระดมเข้ามา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ล้วนแล้วแต่ทำให้เราสูญเสียกำลังที่จะเก็บเอาไว้ใช้ต่อต้านกิเลส ก็คือตาเห็นรูป ไปยินดีด้วย เมื่อฟุ้งซ่านไปกำลังก็รั่วไปแล้ว หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ก็ลักษณะเดียวกัน ก็เลยทำให้เราไม่ว่าจะปฏิบัติสมาธิภาวนามานานเท่าไร ก็ไม่เกิดมรรคเกิดผล เพราะว่ากำลังที่ควรจะรวบรวมเอาไว้ให้เพียงพอในการตัดกิเลสมักจะรั่วไหลไปหมด ประมาณพวก "กระเฌอก้นรั่ว" ก็คือเอาอะไรใส่ลงไปก็รั่วหายหมด ต่อให้ขยันขนาดไหนก็ตาม ปฏิบัติกรรมฐานมามากแค่ไหนก็ตาม ก็จะรั่วหมดทุกครั้ง และเป็นการรั่วที่น่าสงสารมาก เพราะว่าเราทำรั่วเอง..!
การที่เราบวชเข้ามา เขาเรียกว่า อนาคาริกะ คือผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน แทนที่เราจะฉวยโอกาสซึ่งได้ปลีกวิเวก รีบบำเพ็ญใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้มีกำลังเพียงพอในการตัดกิเลส เราก็ทำบ้าง ลากลับบ้านบ้าง เพื่อที่จะไปเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ ตามที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บัญชาให้
บางท่านอยู่วัดก็ยังรู้สึกละอายแก่ใจ พยายามที่จะระงับยับยั้งไม่ให้ตนกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่พอลากลับบ้านไป บางคนก็เล่นเกมได้ทั้งวัน บางคนก็ดูหนังฟังเพลงตามใจตัวเอง ก็เลยทำให้กำลังที่เราสั่งสมไว้ไม่เพียงพอที่จะใช้ในการตัดกิเลสสักที เมื่อถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ตีเข้า เราก็เดือดร้อน กลายเป็นแส่หาเรื่องให้ตัวโดยใช่เหตุ..!
แต่ว่าเรื่องพวกนี้ก็แล้วต้องแต่ท่านทั้งหลาย เพราะว่าถ้าเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกา อยู่วัดครบ ๑ เดือนก็สามารถลาได้ ๗ วัน ถ้าอยู่ครบ ๒ เดือน ก็ลาได้ ๑๕ วัน เพียงแต่วันไปก็นับ วันกลับก็คิด จึงต้องบอกว่า ต้องรู้จักรักษาตัวกันเอง หลังจากที่เข้าวัดมาแล้ว ต้องพยายามชำระใจของเราให้หมดความฟุ้งซ่านให้เร็วที่สุด อย่างน้อย ๆ จะได้มีเวลาที่จิตใจของเราร่มเย็นเป็นสุขบ้าง ไม่ใช่ไปเอาไฟมาเผาตัวเองอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวัน..!
สำหรับวันนี้ เรื่องที่กล่าวมาส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องพระภิกษุสามเณรของเรา ญาติโยมอาจจะได้รับประโยชน์น้อยไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าผู้ใดที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ว่า สิ่งหนึ่งประการใดที่เราทำแล้ว ถ้าหากว่าทำให้กำลังการปฏิบัติธรรมของเรารั่วไหลเพราะความฟุ้งซ่านของใจ ก็ขอให้งด ลด ละ จนกระทั่งเลิกไปได้ ก็จะเป็นคุณแก่ตนเองเป็นอย่างยิ่ง
ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมไว้แต่เพียงเท่านี้..ขอเจริญพร
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2021 เมื่อ 02:14
|