ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 13-06-2022, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,511
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,936 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คำถามของไอ้ตัวเล็กนั้น ก็คือเกิดอาการปัญญาเกินสติ ทำให้ไม่มีการพิจารณาย้อนหลัง เป็นการขึ้นหน้าไปอย่างเดียว คำว่าพิจารณาย้อนหลัง ก็คือ ต้องมองเห็นธรรมดาของร่างกายนี้ ว่ามีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ แต่ว่าสภาพร่างกายเช่นนี้ เราก็จำเป็นที่จะต้องบริหาร เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างไม่มีความทุกข์มากนัก จึงต้องดูแลไปตามอัตภาพนี้ให้ดีที่สุด

ลักษณะเหมือนการหยิบยืมสิ่งของจากผู้อื่น ถ้าหากว่าโดยมารยาทก็คือต้องรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด ถึงเวลาจะได้คืนให้แก่เจ้าของไปในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด พูดง่าย ๆ ว่าไม่ชำรุดทรุดโทรมมากนัก

ขณะเดียวกัน ในเมื่อเราใช้ปัญญาลักษณะนี้กับอสุภกรรมฐาน ตลอดจนกระทั่งอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็ต้องระลึกเพิ่มขึ้นมาว่า ในเมื่อเรายังต้องอาศัยร่างกายนี้อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม เราก็จำเป็นที่จะต้องกินอาหารเข้าไป เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ยังอัตภาพร่างกายนี้ไว้ ให้สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมได้ตามสมควร ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเราไม่รักษาร่างกายนี้เอาไว้ เราปฏิบัติธรรมทั้งทีแล้ว ไม่ถึงมรรคไม่ถึงผลที่ต้องการ ก็จะกลายเป็นการเสียชาติเกิด

ดังนั้น...ในส่วนของอสุภกรรมฐานนั้น เราจำเป็นที่จะต้องพิจารณาย้อนกลับว่า ในเมื่อเราต้องอยู่กับร่างกายนี้ เราต้องดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีอาหารไปหล่อเลี้ยง เพื่อที่จะได้อาศัยร่างกายนี้ปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะนำพาเราหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน

ลักษณะเหมือนกับการที่เราดูแลเรือ ดูแลรถยนต์ให้ดีที่สุด ต้องมีการซ่อม ต้องมีการเติมน้ำมัน เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว จะได้อาศัยรถ อาศัยเรือทั้งหลายเหล่านั้น นำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางตามที่ต้องการ ถ้าหากว่าไม่ดูแลให้ดี พังไปเสียก่อน ก็จะทำให้เราเสียเวลาในการเวียนว่ายตายเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายถ้าหากว่ามีอาการเดียวกัน ก็คือปฏิบัติอสุภกรรมฐานแล้วรังเกียจร่างกาย จนกระทั่งบางทีก็เป็นอย่างในธรรมบทก็คือ มีการจ้างปริพาชกมาฆ่าตัวเองก็มี หรือว่าถ้าหากว่าปฏิบัติในอาหาเรปฏิกูลสัญญาแล้ว เกิดความรังเกียจในอาหารขึ้นมาจนกินไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาย้อนกลับว่า ตราบใดที่เรายังอาศัยร่างกายนี้อยู่ เราก็จำเป็นที่ต้องมีอาหารเหล่านี้เข้าไปหล่อเลี้ยง ถึงจะรังเกียจเพียงไหน ก็ต้องทนฝืนกินเข้าไป เพื่ออาศัยร่างกายนี้เป็นพาหนะ นำพาเราหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ถ้าท่านทั้งหลาย ถ้ารู้จักคิด รู้จักพิจารณา พยายามปรับสติและปัญญาให้เท่าเทียมกัน ก็จะก้าวพ้นจากอาการรังเกียจร่างกาย รังเกียจอาหารเหล่านี้ไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็อาจจะหลงผิด กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าหากว่าจิตใจตอนนั้นเศร้าหมองแล้วเกิดเสียชีวิตลงไป อาจจะตกสู่อบายภูมิไปเลยก็ได้..!

วันนี้ก็ขอใช้โอกาสที่มีเวลาเหลือ บอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายเพิ่มเติมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2022 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา