เมื่อพวกเราอิ่มอร่อยกันแล้วก็นั่งรถต่อไป เพื่อที่จะขึ้นรถไฟความเร็วสูงที่สถานีหลวงพระบาง แต่ "ท้าวนุ" ก็ยังขออนุญาตพวกเราพาแวะที่ศูนย์หัตถกรรมผานม ซึ่งเป็นศูนย์ตำแผ่น คำว่า "ตำแผ่น" ของภาษาลาวในที่นี้ก็คือ "การทอผ้า" จะมีผ้าทอมือต่าง ๆ จำหน่ายเยอะมาก ขนาดให้เวลาพวกเราแค่ ๒๐ นาที แต่ปรากฏว่าบางคนจ่ายไปหลายแสนกีบเลยทีเดียว..!
ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้น ไม่อยากไปเบียดเสียดกับสุภาพสตรีไทยสารพัดคณะ เมื่อหามุมถ่ายรูปได้แล้ว ก็ข้ามถนนไปยังร้านผลิตเครื่องเงินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่บรรดาช่างเงินกำลัง "นอนกลางวัน" กันอยู่ จึงเดินดูสิ่งของต่าง ๆ ในร้าน ไปสะดุดตาตู้เก็บของเก่าใบหนึ่ง ซึ่งมีมีดอุ่ม มีดน้อย ดาบเมืองหลูบเงิน ที่เป็นของเก่าแท้เสียด้วย..!
เมื่อขอดูทางร้านก็รีบเปิดตู้เปิดไฟให้ บอกว่า "เล่มไหนถ้ามีราคาติดก็จำหน่าย" แต่ปรากฏว่านอกจากเล่มงาม ๆ จะไม่มีราคาติดแล้ว เล่มที่มีราคาติดก็เป็นเงินไทย ตั้งแต่เล่มละ ๒๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป จึงบอก "ขอบใจ" ทางร้าน แล้วเดินกลับมาขึ้นรถ
หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางต่อมาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูงหลวงพระบาง ซึ่งประกอบไปด้วยนักท่องเที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก หันไปทางไหนก็ได้ยินแต่ภาษาไทย ภาษาลาว โดยมีภาษาญวนแทรกมาเป็นระยะ
บรรดาท่านทั้งหลายเข้าคิวเพื่อที่จะเข้าไปภายในสถานี ต้องผ่านการตรวจเอ็กซเรย์ต่าง ๆ แต่ว่าพระได้รับสิทธิพิเศษ เขาเปิดทางพิเศษให้ลัดเข้าไปได้เลย แล้วก็มีที่นั่งเฉพาะพระสงฆ์ให้ด้วย เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ประกาศ ทุกคนก็ต้องไปเข้าแถว แต่ว่านิมนต์พระสงฆ์นั่งรออยู่ก่อน จนได้เวลาเขาก็เปิดให้พระสงฆ์เข้าไปก่อน แล้วไปยืนรอตามลำดับตู้รถไฟ โดยปกติแล้วพวกเราได้จองรถตู้ชั้น ๑ แต่ว่าครั้งนี้ ทางมัคคุเทศก์เขาไม่สามารถที่จะหาตั๋วได้ครบ มีอยู่ ๖ คนที่ต้องหลุดไปนั่งที่ชั้น ๒ ซึ่งทางด้านนี้บอกว่าจะคิดเงินคืนให้
กระผม/อาตมภาพเองนั้นต้องเข้าระบบซูม เพื่อที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาหัวข้อวิทยานิพนธ์ต่าง ๆ วิพากย์ออกอากาศออนไลน์ให้กับลูกศิษย์ที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอก ที่กำลังจะทำการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์อยู่ แต่เนื่องจากว่าอยู่ในระยะเวลาของการเดินทาง คลื่นโทรศัพท์มีบ้างไม่มีบ้าง จึงได้ฟังบ้างหลุดบ้าง
เมื่อรถไฟความเร็วสูงมาถึง พวกเราได้ขึ้นไปก่อน แล้วหลังจากนั้นญาติโยมถึงได้ตามขึ้นไป บรรดาท่านผู้เสียสละต้องไปนั่งที่ตู้ชั้น ๒ ซึ่งห่างกันหลายตู้ทีเดียว ถ้าเป็นภาษาของการรถไฟแห่งประเทศไทยคือห่างกันหลาย "คันรถ" หลังจากนั้นก็ออกวิ่งด้วยความเร็วประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเราก็มาลงที่สถานีรถไฟความเร็วสูงวังเวียง ปรากฏว่ารถตู้ทั้ง ๒ คันที่ข้ามไปรับเราถึงอุดรธานีมารอรับอยู่ที่นี่แล้ว พาพวกเราวิ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะเป็นการท่องเที่ยวผจญภัย เรียกว่า "ถ้ำนางฟ้า" พวกเราได้ซื้อ "ปี้" แล้วก็เดินขึ้นสะพานแขวนข้ามแม่น้ำมุดลอดถ้ำเข้าไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2022 เมื่อ 02:59
|