ในเมื่อพวกเราก้าวหน้ามากแล้ว ก็แปลว่าสิ่งที่ทำมาเริ่มเห็นผลแล้ว จึงเหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ตอกย้ำให้ผลนี้มั่นคงอยู่ ด้วยการซักซ้อมบ่อย ๆ เหมือนกับทหารเดินสวนสนาม ถึงเวลาก็ตบเท้าพรึ่บ ๆ ๆ แกว่งแขนพร้อมกัน ดีไม่ดีก็ร้องเพลงไปด้วย จนกระทั่งเป็นสัญชาตญาณว่า ต้องยกเท้าระดับนี้ ต้องเตะเท้าแรงแค่นี้ จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
สติของเราที่ไปในอานาปานสติก็เช่นกัน ถ้าสามารถทรงตัวถึงระดับปฐมฌานละเอียด คราวนี้สบาย..ไม่ต้องบังคับให้ภาวนา คือจะรู้ลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาโดยอัตโนมัติ หลายคนทำได้ แต่รักษาไม่อยู่..น่าเสียดาย ก็คืออยู่เฉย ๆ ก็รู้ลมเอง อยู่เฉย ๆ ก็ภาวนาเอง เราแค่เอาสติตามดูไปเท่านั้น จ้องมองใกล้ ๆ ระวังวัวควายจะหาย เจ้าของเผลอทิ้งไกล คนขโมยวัว ขโมยควายหมดคอก
ถ้าหากว่าสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ เราก็เหมือนกับเศรษฐี วัวควายเต็มคอก ไม่เฝ้าให้ดีจะโดนขโมย การเฝ้าก็คือเอาสติระมัดระวังดูไว้ ในเมื่อสติระมัดระวังรู้เท่าทันอยู่ เราก็จะรักษาอารมณ์ให้อยู่กับเราได้นาน แต่อย่าประมาท เผลอเมื่อไรก็หลุดหายอีก
อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกหลายทีแล้วว่า ส่วนใหญ่แล้วก็คือ วันนี้ภาวนาไปดีเหลือเกิน หน้าตาผ่องใสเป็นพ่อเทวดา แม่นางฟ้า บางคนก็ไปยันพรหมเลย รุ่งขึ้นกลายเป็นหมาอีกแล้ว..! รักษาสติไม่อยู่ กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ถล่มมา หงายท้องตึง..! จากพ่อเทวดา แม่นางฟ้า ก็กลายเป็นหมาขี้เรื้อน..! ไม่มีใครเหลียวแล
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2022 เมื่อ 10:58
|