อาตมาปฏิบัติแบบคนไม่มีเวลา ก็คือทำไปเรื่อย หมดสภาพอยากนอนตรงไหนก็นอนตรงนั้น คือในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้ามัวแต่ไปวิตกว่าจะต้องกินที่นั่น จะต้องนอนที่นั่น จะเป็นเรื่องที่เป็นกังวลเสียเปล่า ตอนออกบิณฑบาตจะเป็นตอนที่รักษากำลังใจสุดชีวิตเลย เพราะว่าสิ่งที่มากระทบจะมีมาก สิ่งที่มากระทบที่ว่ามีมากก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ว่าในชีวิตฆราวาส เราอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีก็ไม่รู้ว่ารบกวนการปฏิบัติ แต่ชีวิตของความเป็นพระ พอเราโดนตีกรอบ ก็อยากรู้อยากเห็นทุกเรื่อง “ขอมองสักนิดก็ยังดี” ทำนองนั้น
ญาติโยมหลายคนก็เมตตาเหลือเกิน รู้ว่าพระไม่ค่อยได้เห็นอะไร บางทีโยมลงมาใส่บาตร พอเปิดฝาบาตรเสร็จก็ก้มหน้าสำรวมตามพระวินัย “อะไรวะ..ขาวไปหมด..?!” ก็คุณเธอเล่นลงมาใส่บาตรในชุดนอนบาง ๆ นิดเดียว แขนเสื้อก็ไม่มี ข้างล่างก็ลงมาไม่ถึงหัวเข่า เขาคงรู้ว่าพระไม่ค่อยได้เห็นอะไร ไหน ๆ ใส่บาตรแล้วก็ทำบุญทางสายตาไปด้วยก็แล้วกัน..!
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เราต้องรู้จักระมัดระวังตัวเอง ทำอย่างไรจะรักษาอารมณ์ในการปฏิบัติเอาไว้ได้ ก็ต้องพยายามที่จะจับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาพพระ ในขณะที่เดินบิณฑบาต ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากวัดไป ถ้าพลาดตรงไหนก็เริ่มต้นใหม่ตรงนั้น ประคับประคองกันใหม่ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นความที่พยายามทำอย่างต่อเนื่อง เลยทำให้ในเรื่องของการปฏิบัติเริ่มมีความก้าวหน้ามากขึ้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2013 เมื่อ 19:40
|