| 
				 เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน  วันเสาร์ที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ 
 
			
			ทั้งหมดตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกของเรา คือ สติสัมปชัญญะทั้งหมด เอาไว้เฉพาะตรงหน้า  หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็แล้วแต่ที่เรามีความชอบหรือความถนัดมาแต่เดิม
 วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติธรรมของเดือนกันยายนวันที่สอง ในการปฏิบัติภาวนานั้น หลายท่านมักจะมีปัญหา คือ ปล่อยให้กำลังใจฟุ้งซ่านมากจนเกินไป  เวลาจะควบคุมด้วยการอยู่กับลมหายใจเข้าออกจึงเป็นไปโดยยาก ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ นักปฏิบัติมักจะประสบอยู่เสมอ  โดยเฉพาะท่านใดเคยมีกำลังใจทรงอยู่ในระดับฌานสมาบัติ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป  แล้วปล่อยจนกระทั่งรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนสมาธิสมาบัตินั้นไป จะตีคืนได้ยากมาก
 
 เหตุที่ท่านทั้งหลายจะทำคืนได้ยาก ก็เพราะว่าเราอยากจะได้เหมือนเดิม ในเมื่อการภาวนาของเราไม่ได้ปล่อยวาง แต่ไปอยากเสียแล้ว ความฟุ้งซ่านจะเกิดแก่สภาพจิต เมื่อความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น จิตย่อมไม่สงบ ดังนั้น..ท่านใดก็ตามที่ภาวนาแล้วไม่ไปไหนเสียที ให้รู้ว่าถ้าเราไม่ทำเกิน  เราก็ทำขาด แต่ส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบันนี้ จะทำขาดเสียมากกว่า
 
 เราลองเปรียบเทียบดูว่าวันหนึ่งมี  ๒๔ ชั่วโมง เราอยู่กับการภาวนานานเท่าไร ? สมมติว่าท่านทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน  ภาวนาตอนเช้า ๑ ชั่วโมง ตอนเย็น ๑ ชั่วโมง ก็แปลว่าเรายังขาดทุนอยู่ ๒๒ ชั่วโมงทุกวัน ดังนั้น..ในเมื่อเราทำขาด ทำไม่พอ โอกาสที่กำลังใจของเราจะทรงความคล่องตัว สามารถที่จะใช้ต่อต้านกิเลสได้ก็มีน้อย เพราะว่าแค่ประคับประคองกำลังใจของเราให้ทรงตัวก็เป็นเรื่องยากเสียแล้ว  นอกจากเราจะวางกำลังใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นสมาธิสมาบัติหรือไม่เป็นก็ตามที เราก็จะภาวนา
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2012 เมื่อ 13:24
 |