เคล็ดลับของมโนมยิทธิ  คือ 
 
อันดับแรก เราต้องเข้าใจว่าสภาพจิตของเราไม่มีอะไรขวางได้   ไม่ต้องผ่านขั้นตอนของการใช้ร่างกาย  อย่างเช่นว่า ถ้าเราจะไปวัด ถ้าใช้มโนมยิทธินี่จะถึงวัดเลย ไม่ต้องเปิดประตู  ไม่ต้องลงบันได ไม่ต้องไปเรียกหารถ   ถ้าเรานึกถึงวัด  สภาพวัดจะชัดเจนอยู่ตรงหน้า  คนที่ได้มโนมยิทธิหรือคนได้อภิญญา  เขาจะเห็นว่าอยู่ตรงนั้นเลย ที่ไหนก็ตาม  ใกล้ไกลก็ตาม ไม่โดนจำกัดด้วยระยะทาง แค่นึกก็ถึงแล้ว  เพราะฉะนั้น..เขาบอกว่าให้ยกจิตขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ถ้าเรากำหนดใจเลยว่าตรงหน้าคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ก็ใช่เลย เพียงแต่ว่ารายละเอียดต่าง ๆ เราไม่คุ้นชิน  เกิดความรู้สึกอย่างไรให้ตอบอย่างนั้นก่อน 
 
แรก ๆ ภาพจะไม่ชัดหรือไม่เห็นเลย จะเป็นเพียงความรู้สึกเฉย ๆ  พอเกิดความมั่นใจแล้วความชัดเจนจะค่อย ๆ มีมาเอง  เพราะฉะนั้น..อันดับแรกก็คือว่า ไม่โดนจำกัดด้วยระยะทางเหมือนกับกายเนื้อของเรา แค่คิดก็ถึงแล้ว ใครสามารถคิดได้นี่...ฝึกมโนฯ ได้ทุกคน  ดังนั้น..คนฝึกมโน ฯ บางคนก็มักจะงงว่า ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ?  ความจริงก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก  กว่าจะทำได้  ว่ากันมาหลายปีอยู่เหมือนกัน   
 
ข้อที่สองก็คือ อย่ากลัว  เราได้ยินว่ามโนมยิทธิเป็นการถอดจิตไป ก็กลัวว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้   ไปแล้วเกิดไปเจออะไรน่ากลัว  เราออกไปเหมือนกับทิ้งบ้านเปล่า ๆ  แล้วผีจะมาขโมยตัวเราไปใช้ ถ้าเกิดความกลัวแบบนี้ก็จะไปไม่ได้  
  
ข้อที่สาม ก็คือ อย่าอยากจนมากเกิน  อยากแล้วไปปฏิบัติไม่ใช่ความผิด  แต่ตอนภาวนาตามครูฝึกอย่าอยาก  ความอยากมากก็เหมือนกับเรายืดคอออกจากช่อง  มีช่องอยู่ตรงหน้าเพื่อให้เรามองเห็นอะไรได้  เราอยากมาก..ยืดคอจนเลยช่องแล้วจะไปมองเห็นอะไร   
 
ข้อที่สี่ ก็คือ อย่าเป็นคนขี้สงสัย ด้วยการเก็บความรู้เก่า ๆ ที่ได้ยินมาบ้าง ได้ฟังมาบ้าง ได้อ่านหนังสือมาบ้าง  เอาไปใช้  ผมโดนมาแล้ว ครูฝึกบอกให้ไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ ผมก็ไป  เห็นลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง ครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนขวาน  นุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว เสื้อก็ไม่ใส่  มีผ้าขาวม้าพาดบ่าอยู่ชิ้นเดียว  เราก็ไปนั่งมอง "นี่หรือพระอินทร์..?"   ท่านลุกนั่งตัวตรงถามว่า "แล้วเอ็งอยากดูแบบไหน ?"  แค่ประมาณสองวินาทีท่านทำให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบ แล้วท้ายที่สุดก็คือพระอินทร์ที่เราคิด แต่งตัวเป็นลิเกสีเขียว ๆ   เพราะฉะนั้นถ้าหากเราแบกเอาความรู้เดิม ๆ  ไปแบบคนขี้สงสัย โอกาสที่จะเจอของจริงก็ยาก 
 
ถ้าครูฝึกเขาไม่ลืมที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกเอาไว้ จะมีอยู่ประโยคหนึ่ง ท่านบอกเอาไว้ติดหู ติดตา ติดใจนักปฏิบัติเลย อย่าลืมเป็นอันขาดก็คือว่า  กราบขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอรู้ให้เห็นตามสภาพความเป็นจริง   ไม่อย่างนั้นบางทีท่านทดสอบเราว่าเราเชื่อไหม ?  เพราะฉะนั้น..พระอินทร์ลักษณะที่เราเคยชินท่านไม่มา  ท่านมาในลักษณะสบาย ๆ  ของท่าน  มาอย่างกับประเภทเป็นปู่ย่าตาทวดอยู่กับบ้าน  
  
ข้อสุดท้ายก็คือว่า  ต้องมีความมั่นใจในตนเอง  ถึงได้บอกว่าแรก ๆ ครูฝึกเขาบอกให้ทำอย่างไรทำอย่างนั้น  รู้อย่างไรตอบไปอย่างนั้น  อย่ากลัวผิด แม้ว่านั่งอยู่ด้วยกันห้าคนหกคน  เขาบอกว่าจุฬามณีหน้าตาเป็นอย่างไร  เรารู้สึกไม่เหมือนเขาให้ตอบตามแบบของเรา  สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างไร  เรารู้สึกอย่างไรให้ตอบไปอย่างนั้น   เพราะว่าถ้าเปรียบสวรรค์กับโลกมนุษย์แล้ว  สวรรค์ชั้นหนึ่งเหมือนเข่งใบใหญ่  โลกก็เหมือนกับถั่วเม็ดเดียว หย่อนลงไปในเข่ง  หาเจอไหมละ ? ฉะนั้น..ถ้าไม่ได้ลงที่เดียวกันจริง  ๆ ก็จะเห็นไม่เหมือนกัน  อย่างเรามากรุงเทพฯ  คนหนึ่งอยู่ลาดพร้าว คนหนึ่งอยู่บางแค  อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แล้วเห็นเหมือนกันไหม ?
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 02:05
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |