เมื่อเราเห็นตรงจุดนี้แล้วว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี สภาพของคนอื่นก็ดี มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ เรากินและนอนอยู่ในกองทุกข์ ไม่มีความสุขแม้แต่วินาทีเดียว และท้ายที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเสาะหามา ก็ไม่มีอะไรหลงเหลือสำหรับเรา แม้แต่ร่างกายนี้ก็เสื่อมสลายตายพังไป สิ่งที่เรารักที่สุด ดูแลอย่างดีที่สุด ยังยึดถือเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ แล้วร่างกายของคนอื่น ร่างกายของสัตว์อื่น วัตถุธาตุอื่น ๆ เราจะไปยึดถือมั่นหมายได้อย่างไร ?
เมื่อเห็นชัดเจนดังนี้แล้ว ก็ให้ถอนจิตของตนเองออกมา จากความใคร่อยากที่จะเกิด อยากที่จะมีร่างกายนี้ อยากที่จะมาอยู่ในโลกนี้เสีย แม้กระทั่งการเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เราก็ไม่ต้องการ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นแค่พ้นทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเผลอมาเกิดใหม่ก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์อีก เราปรารถนาแห่งเดียวคือพระนิพพาน
ให้ทุกคนเอากำลังใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระเอาไว้ ถ้าหากว่าท่านใดสามารถยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานเพื่อไปกราบพระข้างบนได้ ก็ให้ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ท่านที่ไม่สามารถจะยกจิตขึ้นไปได้ ก็ให้เกาะภาพพระ หรือเกาะคำภาวนาของเราเอาไว้ ถ้าลมหายใจเบาลง คำภาวนาหายไป หรือแม้กระทั่งลมหายใจหายไป ก็ให้กำหนดดู กำหนดรู้เอาไว้ อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าดิ้นรนให้พ้นจากสภาพอย่างนั้น เราเป็นเพียงผู้ดูอยู่เฉย ๆ เราไม่พึงปรารถนาอะไรอีกแล้วนอกจากพระนิพพาน ให้รักษากำลังใจของเราเอาไว้อย่างนี้ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2012 เมื่อ 08:17
|