บวชเนกขัมมะครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เป็นอีกครั้งที่ควรมาเล่าสู่กันฟัง
เริ่มจากกำหนดการ "จัดเต็ม" ๕ วันเช้า-บ่าย รวม ๙ รอบ พระอาจารย์ก็เมตตา "คุมเข้ม" เกือบทุกช่วงกรรมฐาน

พร้อมด้วยเปลี่ยนอาวุธเป็นกล้องถ่ายรูป ไว้คอยดันใครที่หลับสัปหงก ที่ครั้งนี้มีหลายคนอยู่
จำนวนคนกลับมากกว่าครั้งที่ ๔ อากาศเย็นสบายขึ้น แม้มีฝนบ้าง แต่ระบบน้ำอาบน้ำใช้ก็ซ่อมทำแล้วเรียบร้อย
แม่ชีทุกท่านยังคงทำงานหนักเพื่อให้ผู้บวชอยู่สบายเช่นเคย งานครัวกระชับขึ้นโดยทำอาหารง่าย ๆ ไม่มากอย่าง
และพระอาจารย์ประกาศให้โยมที่มีฝีมือทำอาหารไปช่วยงานครัวอีกด้วย
แต่แม่ชีทุกท่านก็ต้องขึ้นบนศาลาเพื่อขานชื่อ (ชื่อแรก ๆ ด้วย) ก่อนเวลาให้ทัน เช่นเดียวกับท่านอื่น ๆ
...ยายก็เพิ่งทราบตัวอย่างหนึ่งหลังจากกลับมาแล้ว ที่ยืนยันว่า ทุกท่านที่ได้ไปบวชมีบุญหนุนส่งระดับหนึ่งแน่นอน
คือ น้องที่ทำงานที่ยายชวนให้ไปบวชไว้ ซึ่งเขาจัดเวลายากมาก เพราะมีกิจกรรมครอบครัวและงานบุญประจำทุกวันหยุด
เขาเล่าว่า ลางานไว้แล้ว ๒ วัน จัดกระเป๋าแล้ว แต่ลาฟรี ไม่ได้ไปเพราะรถที่จะไปเต็มทั้งหมด
ยายก็ถามว่าทำไมไม่โทร. หา เพราะวันเดินทาง ยายกลับจากวัดเขาวงมารับป้ายิ้มที่กรุงเทพฯ และยังพอมีที่
เขาบอกว่า มือถือเขาเพิ่งเปลี่ยนที่หาย

ไม่มีเบอร์โทร. ที่เก็บไว้ และไม่ได้อยู่ในจังหวะที่จะตรวจสอบถามหาได้สะดวก
ตอนไปถึงวัดมืดแล้ว ยายก็กราบพระ พรหม เทวดา หลวงปู่... พอถึงตรงศาลาแม่พระธรณี อ้าวท่านแม่หายไปไหน
ยายก็จอดรถ ลดระดับกระจกออกดู จึงเห็นว่าพระแกะสลักจากหินเขียวแม่น้ำโขงประดิษฐานอยู่ตรงนั้น

(ยายเคยจำเอาไว้ว่า พระอาจารย์เคยเล่าถึงว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
แต่ก็มีคนฟังมาแตกต่างกันออกไปอีกถึง ๒ คน... ยายก็เลยไม่แน่ใจ)
ยิ่งดีใจมากขึ้น เมื่อเห็นว่าแม่ชีใหญ่กำลังจัดเตรียมบายศรีเพื่อบวงสรวงและดอกไม้บูชาพระ และยายได้รับคำชวนให้ช่วย
จึงรีบไปดูที่นอนให้เรียบร้อยก่อน เพราะดึกแล้ว... อาบน้ำเสร็จก็ทันได้ช่วยบูชาครูทำดอกไม้บ้างด้วยความชื่นใจ
เสร็จแล้วก็เดินไปวางพานดอกไม้ถวายที่กุฏิหลวงปู่พุก แล้วไปกราบที่องค์พระหินเขียว...
ช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น จะได้บวงสรวงรับพระองค์ท่าน เป็นฤกษ์โสฬสวันเสาร์อีกด้วย
มีคนเตรียมไปหาน้ำมันเลียงผามาเข้าพิธี ยายก็ฝากซื้อขวดเล็ก เพื่อไม่ให้หนัก และจะนำถวายพระอาจารย์
ช่วงเช้าตรู่ เขาไปหาซื้อที่ร้านประจำ ร้านยังไม่เปิด เขาก็ถึงกับเคาะเรียกได้มา
ร่ายยาวมานี่ ก็เพื่อชะลอที่จะเล่าถึงส่วนการปฏิบัติ เพราะส่วนนี้ยายได้รับคำสั่งสอน ระดับ

“เจ็บเลือดซิบ” ทีเดียว
ยายไม่ได้ไปบวชทุกครั้ง จึงเพิ่งมีโอกาสได้ฝึกกราบช้า ๆ กับเคลื่อนมือแทนการเดินจงกรม
ยายชอบกราบแบบนี้มาก แม้ว่ามักทำผิดท่าตอนที่กราบครบแล้วจะกลับมาท่าทางเดิม… เพราะทำให้รู้สึก “ตั้งใจ”

กราบมาก ๆ
การเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียนนี้… เด็ก ๒ พี่น้องที่เมื่อง่วงแล้วรู้จักแก้ปัญหาโดยหันมาทำอิริยาบถนี้แทน
ครั้งนี้ ไม่มีเด็กกวนผู้ใหญ่เลย มีแต่ที่จะให้ผู้ใหญ่ได้อาย… พวกเราได้กราบฟังว่า แฝดสามตัวน้อย
ตอนที่เด็ก ๆ ที่แยกกันนั่งนี้ เขาเบื่อแล้วมองนั่นนี่ไปบ้าง ก็ไม่ขยับออกนอกวงส่วนตัวรบกวนใครกันเลย
คนพี่เด็กหญิงอีกคน ที่ล้มตัวลงนอนฟุบไปนั้น พระอาจารย์ท่านก็ไม่ให้ไปปลุกหรือจับ
เพราะเราจะดูไม่ออกว่าเขาหลับหรือเป็นมโนฯ เต็มกำลังกันแน่… ไปจับรบกวนเข้าก็อาจจะเกิดโทษได้
ได้มีโอกาสเดินจงกรมรอบวัด ๑ รอบ… เป็นรอบที่พระอาจารย์บอกว่า
ไม่มีสักคนเดียวที่รักษากำลังใจได้ตลอดทาง หลุด ๑๐๐% เต็ม !!! และคนที่รู้ตัวมีไม่ถึงจำนวนนิ้วมือข้างหนึ่ง
เมื่อท่านเทศน์ ระหว่างปฏิบัตินั้น … ท่านย้ำอีกครั้งว่าข้อเสียของการปฏิบัติของพวกเราก็คือทำแล้วทิ้ง
ไม่พยายามรักษาอารมณ์ใจไว้ให้ได้ ข้อเสียนี้มีผลร้ายแรงถึงไปพระนิพพานไม่ได้

ยายฟังแล้วก็สยองขวัญ แต่ “เรื่อง” ที่เกิดขึ้น ก็ยิ่งย้ำให้ยาย “สยอง” ต่อมากระทั่งทุกวันนี้…
ที่ยายก็ยังหัด “รักษากำลังใจ” ได้ไม่ดีขึ้นนัก
เอาตรงเรื่องเดินรอบวัดนี้ก็ “เจ็บ” มากแล้ว…
พวกเราตัดสินใจออกเสียงกันว่าจะไปเดิน ตอนที่แดดแรงมาก แต่พอเริ่มออกเดินแดดก็ร่ม
…วุ่นวายจัดแถว พอเริ่มออกเดิน ก็ไม่สมานสามัคคีเท่าไรนัก และเดินค่อนข้างเร็ว
ตรงยายก็ใช้วิธีสังเกตฝีเท้าแถวพระที่นำหน้า แล้วว่าคำเดินจงกรมตาม
มีหยุดจัดขบวนใหม่ ๒-๓ ครั้ง ในที่สุด พระอาจารย์บอกให้ต่างคนต่างกำหนดในใจกันเอง
เพราะแถวข้างหลังบีบคั้นให้แถวนำหน้าต้องเร่งฝีเท้าแทบหายใจไม่ทันกันทีเดียว
เดินกันมาสักพักก็พบต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทางอยู่ ก็ค่อย ๆ เดินออกข้างกันไป… ช่วยเหลือกันไปตามสภาพ
ข้างที่ยายผ่านมีรังมดแดงตัวโตแตกรังมาพอให้ได้ปัดออกจากหัวหู
แถวเดินผ่านจุดต่าง ๆ ไป… ตอนนี้เสียง ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เงียบลงแล้ว
ยายก็เพลินดูสองข้างทาง ไม่ถึงกับสอดส่าย แต่ก็มี "เผลอ" ไปบ้าง...
นี่ยายภาวนาพร้อมกับทำอย่างอื่นอีกแล้ว
โดยเฉพาะที่มะดำเทินขวดน้ำไว้บนหัวระหว่างเดิน เป็นเหตุให้เป็นจุดสนใจ…
ยายเห็นมะตอนที่พระอาจารย์ท่านขึ้นเนินปูนไปถ่ายรูปเอาไว้...
ก็หันไปมองพระอาจารย์ก่อนนั่นแหละ แล้วจึงมองตามทิศทางที่ท่านมองต่อ
ท่านว่ามะสมาธิดีที่สุด เผ่าพันธุ์นี้เป็นเองโดยกำเนิด

…
มีคนพูดว่าเหมือนพวกนางแบบ ท่านก็ว่า เขาเกิดมาเป็นนางแบบกันได้ทุกคน
ผ่านหน้าจุดก่อสร้างฐานสมเด็จองค์ปฐมด้านหน้าวัด ยายก็ยกมือขึ้นไหว้
พอเดินเลี้ยวกลับเข้ามาทางหน้าวัด ผ่านปากทางขึ้นพระเจดีย์
พระอาจารย์ท่านก็เล่าถึงศาลาตรงนั้นที่เคยเป็นทรงไทย แล้วต่อมาก็สร้างเป็นทรงสเปน
ซึ่งภายหลังสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะบูรณะ จึงกลับมาเป็นทรงไทยใหม่
ถึงยายจะเคยฟังเรื่องนี้แล้ว… แต่ความที่ยายฟังไม่ค่อยได้ยิน จึงเงี่ยหูตั้งใจฟังท่านเล่า

เห็นท่านเดินถือโทรโข่งพูดหันไปทางด้านหน้า และท่านเดินอยู่ด้านข้างบริเวณค่อนไปทางหัวแถว
ยายก็นึกว่า ทำไมท่านจึงไม่หันโทรโข่งมาทางด้านหลัง คนในแถวจะได้ยินชัดขึ้น…
“
ทำไมหนอ” ท่านไม่ลืมแน่นอน ท่านต้องมีเหตุผลสิ
…
ทันทีที่นึกออก !!! ยายก็กลับมาที่ฝีเท้าแล้วนึกว่า “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ” ทันที
แต่ตอนนั้นเราก็ใกล้ถึงศาลาแล้ว
ยาวจัง ขออภัย… ยายขออนุญาตเอาเรื่อง “น่าละอาย” (และน่าสยองขวัญขึ้นอีก) ของยาย มาเล่าต่ออีกนะ