ตัวอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวถึง คือ พระตาลปุตตคามิณีเถระ ท่านเป็นนักแสดงหรือที่เขาใช้คำว่า "มายากร" ที่มีชื่อเสียงมาก ไปไหนก็มีคนตามดูเป็นจำนวนพัน ๆ คน ท่านไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ยินว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ ก็หาโอกาสไปกราบ แล้วทูลถามว่า ตามความเชื่อของพวกเขาที่สืบ ๆ กันมาว่า
"บุคคลที่เป็นมายากร เมื่อตายแล้วจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างความรื่นเริงแก่ผู้อื่น จริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า?" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน...มายากร อย่าได้ถามปัญหานี้เลย” ท่านก็ยังถามใหม่ถึง ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าเองจึงจำเป็นที่จะต้องบอกความจริงว่า "บรรดานักแสดงต่าง ๆ ถ้าไม่ทำกุศลอื่นเลย จะลงอเวจีมหานรกทั้งหมด"
ในส่วนที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตาลปุตตาคามิณีมาณพนั้น มีความเลื่อมใสและเชื่อมั่นในคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงร้องไห้เสียใจ แล้วก็ทูลถามว่าจะแก้ไขอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงได้แนะนำว่าให้บวชแล้วปฏิบัติธรรม ท่านก็เลยบวชแล้วปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ กรรมทั้งหมดจึงกลายเป็นอโหสิกรรม ก็คือไม่สามารถที่จะไล่ตามท่านทัน ก็หมดไปโดยปริยาย
แต่คราวนี้คนในปัจจุบัน เวลาเราพูดเรื่องนี้เขาจะมีความเชื่อถือแค่ไหน ? ยิ่งถ้าหากว่าเราไปพูดกับท่านทั้งหลายที่มีผู้คนตามนิยมชมชื่นมาก ๆ เข้า ดีไม่ดีคนพูดจะตายก่อน ต่อให้ตายแล้วไปดีก็เถอะ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะพูดต้องดูสถานที่ ดูวาระดูเวลาด้วย ถ้าเขารับไม่ได้เพราะเขามีความเชื่อมั่นของเขาอยู่ ก็ต้องปล่อยให้ทางใครทางมัน แต่ถ้าสามารถแนะนำได้ก็ควรที่จะแนะนำ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-04-2012 เมื่อ 10:28
|