
25-04-2012, 14:14
|
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
|
|
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,897 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
|
|
ไม่กินของดิบ
ทางอีสานในตอนนั้น ความรู้ทางโภชนาการยังไม่ค่อยเจริญนัก ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงชอบกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ แม้คุณพ่อของท่านก็เช่นกัน ด้วยความรักของพ่อ เมื่อได้อะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ มา ก็อยากจะให้ลูกได้ลองกินดูบ้าง
แต่สำหรับเด็กชายบัวนั้น เป็นมาแต่เล็กแต่น้อยแล้ว คือจะไม่ยอมกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เลย แม้พวกปลาร้าอย่างนี้ หากยังดิบอยู่ ก็จะไม่ยอมเอาเข้าปากโดยเด็ดขาด ด้วยเหตุผลว่า “มันคาว” แต่แล้ววันหนึ่ง พ่อไปล่าไก่ป่ามาได้ แล้วนำมาทำเป็นเหมือนป่นปนน้ำเหลว ๆ จากนั้นให้ท่านลองชิมดู ในวันนั้น ใจพ่อคิดอยากทดสอบดูว่า ลูกชายคนนี้จะไม่ยอมกินของดิบ ๆ จริง ๆ หรือ เพราะก็เห็นเด็กคนอื่น รวมทั้งพี่ ๆ น้อง ๆ ก็กินกันได้เป็นปกติ ไม่เห็นมีใครบ่นว่าเหม็นคาวแต่อย่างใดเลย
การทดสอบหาความจริงของพ่อจึงเริ่มขึ้น หลังจากปรุงอาหารดิบสูตรพิเศษเสร็จแล้ว จึงยกออกมาวาง และลูกก็คงจะมองสีสันและลักษณะดูแปลกตาไป จึกยกขึ้นมาดมแล้วถามอย่างไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นักว่า
“มันสุกแล้วจริงหรือ ? บ่ได้หลอกข้อยหรือ ?” (“ข้อย” หมายถึง ผม)
“บ่ได้หลอกดอก กินเถอะลูก ทำให้สุกแล้ว”
ความที่หวังดี ทั้งก็อยากทดสอบดูว่าลูกคนนี้จะไม่ยอมกินจริง ๆ หรือ ทำไมมันแปลกกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ นักเล่า ?
ลูกไม่แน่ใจจึงถามย้ำเข้าไปอีกว่า
“บ่หลอกจริง ๆ หรือ ?”
“บ่..บ่หลอกดอก” แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้ใหญ่ร่วมกันหลอกเด็กเสียเต็มประตู
เมื่อผู้ใหญ่ต่างก็ยืนยันเช่นนั้น ก็เลยเอาข้าวเหนียวปั้นเป็นคำน้อย ๆ แล้วจิ้มอาหารดิบสูตรพิเศษเข้าปาก จากนั้นก็เคี้ยวไว้สักพักหนึ่งแล้วก็อมไว้ ไม่ยอมกลืนแต่อย่างใด แค่อม ๆ ไว้เท่านั้น แล้วก็จิ้มคำที่สอง ก็ทำในลักษณะเดิมอีก คือพอเอาใส่ปากแล้วเคี้ยวอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ยอมกลืน ยังคงอมไว้เหมือนเดิม เหตุการณ์ในตอนนี้ คุณตาแอบสังเกตเห็นโดยตลอด
พอคำที่สามเท่านั้น คราวนี้หลานอาเจียนแทบเป็นแทบตาย ชนิดในท้องมีอะไรเท่าไหร่ก็เอาออกมาหมดเกลี้ยงเลย ถึงตอนนี้คุณตาเห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบเข้าไปลูบหลังพร้อมพูดปลอบขวัญหลานด้วยความสงสารเป็นที่สุดว่า
“โอ้..ลูกเอ๋ย ตาหลอกลูกจริง ๆ นะแหละ ตาขอโทษนะ ตาอยากทดสอบดูลูกว่า ลูกเป็นหยัง ? บางทีพอตาหลอกให้กินก่อนแล้ว เดี๋ยวต่อไปลูกก็คงจะกินเป็นเหมือนคนอื่น ๆ เขา”
หลานตอบว่า “ก็ข้อยบอกแล้วว่ามันคาว มันกินไม่ได้จริง ๆ” ถึงตอนนี้องค์หลวงตาได้เล่าย้อนหลังถึงความรู้สึกในทันทีที่ชิมอาหารปรุงรสพิเศษของพ่อไว้ด้วยว่า “โหย..มันยังไงไม่รู้นะ มันพุ่งเข้าไปข้างใน อาเจียนแตกออกมา วันนั้นยุ่งใหญ่เลย ไม่ได้หลับได้นอนเลย”
น้อง ๆ ของท่านกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น จากคำบอกเล่าของแม่อีกทีหนึ่ง ผลปรากฏว่า ในคืนนั้นคุณตาเลยไม่เป็นอันหลับอันนอน สงสารหลาน เห็นหลานกินข้าวไม่ได้ ต้องคอยเทียวลุกไปดูหลานอยู่ตลอด เที่ยวหาฝ้ายมาผูกแขนผูกมือให้หลานถึง ๓ ครั้ง ๓ หน ทั้งปลอบขวัญทั้งเป่าหัวให้หลานอยู่อย่างนั้น เรียกว่ามีวิชาอะไรก็จะขุดจะลากออกมาใช้หมดสิ้น เพราะอยากให้หลานหายโดยเร็ว
ในเรื่องนี้ แม้เมื่อท่านโตขึ้นแล้วก็ตาม หากเห็นน้อง ๆ พากันกินของดิบ ท่านก็มักจะดุเอาบ้างเหมือนกัน เช่น คราวหนึ่งน้องกำลังกินส้มตำผสมกุ้งสด ๆ กันอยู่ ท่านเห็นเข้าก็เลยดุเอาว่า “เอาไปทำให้สุกเสียก่อน”
น้องตอบว่า “โอ๊ย แค่กุ้งดิบมันไม่มีเลือด มียาง มันไม่คาวหรอก จะเป็นอะไรไป”
ท่านก็ยังคงยืนยันตามเดิมเหมือนเมื่อตอนยังเล็กว่า “มันคาว”
เรื่องนี้องค์หลวงตาเมตตาอธิบายในภายหลังว่า “นิสัยนี้มันเป็นเองไม่มีใครสอน ของดิบกินไม่ได้ พวกลาบพวกก้อย แม้ที่สุดปลาซิวตัวเล็ก ๆ ก็กินไม่ได้ กินของดิบได้แต่กุ้ง แต่ต้องกุ้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ก็กินไม่ได้ มันคาว เขาป่นกุ้งนี้กินได้ นอกนั้นพวกปลาซิวนี้กินไม่ได้เลย นิสัยทุกอย่างนี้เป็นเอง ไม่มีใครบอก มันเป็นในนิสัยเอง ไม่มีใครสอน จนถึงขนาดว่าพ่อต้องทดลองดูทุกอย่าง ก็ยังอาเจียนออกมาต่อหน้าต่อตา”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 14:23
|