"ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าคนโบราณเขารอบคอบ คนที่จะจัดงานบุญฉลองอายุใหญ่ ๆ โต ๆ ได้ ส่วนใหญ่เป็นท่านที่มียศมีอำนาจ คราวนี้คนที่มียศมีอำนาจส่วนใหญ่ก็มีบริวารมาก เวลาจัดงานบริวารก็ต้องมา บางทีบริวารอยู่หัวเมืองไกล ๆ ต้องพายเรือ ต้องขี่เกวียน ต้องเดินเท้ามา ทำให้เขาลำบาก ฉะนั้น..การจัดงานทุกปีจึงเป็นการรบกวนบริวารตัวเองมากจนเกินไป ก็เลยเปลี่ยนเป็นจัด ๑๐ ปีครั้งหนึ่ง หรือว่า ๑๒ ปีครั้งหนึ่ง
สมัยนี้รถราม้าช้างไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวกัน เดินทางสะดวก ผู้ใหญ่ท่านจะจัดงานวัดเกิดทุกปีก็ไม่มีใครว่าอะไร ไปให้ท่านเห็นหน้าเสียหน่อย “ไม่ไปก็ไม่ว่า..แต่ผมจำแม่นนะ” อะไรอย่างนี้ มีการขู่อีกด้วย
เพราะฉะนั้น..งานวันเกิดก็เลยกลายเป็นงานที่ค่อนข้างเกร่อเป็นสาธารณะ ไม่เหมือนโบราณที่โอกาสจัดงานวันเกิดคนหนึ่งมีแค่ไม่กี่ครั้ง สมัยนี้เด็ก ๆ ปักเทียน ๒ เล่มก็เป่าเค้กกันแล้ว ต่อไปถ้าจะให้อาตมาเป่าเค้ก ขอให้เปลี่ยนเป็นขนมครกนะจ๊ะ ถ้าไม่ใช่ขนมครกจะเป็นขนมชั้นก็ได้
อาตมาฉันเค้กได้อย่างเดียวก็คือเค้กผลไม้ ต้องใส่ผลไม้เยอะ ๆ ด้วยนะ เวลาอาตมาสั่งเค้กผลไม้พิเศษ จะเป็นเค้ก ๑ ปอนด์ ใส่ผลไม้ไป ๓ ปอนด์ เค้กเป็นอาหารฝรั่ง เด็กรุ่นหลัง ๆ กินอาหารตามแบบฝรั่งโดยที่ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศ บ้านเขาอากาศหนาวก็ต้องกินนมกินเนย กินไอศกรีม เพื่อที่จะเอาพลังงานไปสู้ความหนาว บ้านเราอากาศร้อน กินเข้าไปร่างกายก็เก็บหมด จึงกลายเป็นโรคอ้วนกันมาก
วันเกิดอาตมาไม่ค่อยได้นึกถึงหรอก บางคนมาบอกว่าวันนี้วันเกิดอาจารย์ อาตมาถึงนึกได้ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญเลย ที่ให้ความสำคัญคือวันตาย กำลังรออยู่ ถึงคิวเมื่อไรก็..ไปละนะ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2012 เมื่อ 16:25
|