พอกลับไปวัดท่าซุง เรื่องนี้ยังคาใจอยู่ พอวันลงโบสถ์หลวงพ่อบอกว่า บุคคลที่เป็นนักปฏิบัติ จิตยิ่งละเอียดเท่าไร การรับรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็จะยิ่งชัดเท่านั้น ท่านว่าพระอรหันต์ไม่ใช่ไม่เจ็บ ท่านเจ็บมากกว่าเราหลายเท่า เพราะจิตท่านละเอียด ท่านรับรู้ได้หมดทุกประการ แต่เนื่องจากจิตของท่านกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน สภาวะทางร่างกายเกิดขึ้น มีทุกข์ ทรมานแบบไหน อาการก็แสดงออกแบบนั้น แต่ว่าจิตของท่านไม่ได้หวั่นไหวตามไปด้วย
ไปดูตัวอย่างในพระไตรปิฎก พระอัสสชิ* ท่านน่าจะเป็นโรคกระเพาะ ปวดท้องจนกระทั่งดิ้นโครม ๆ ร้องโอดโอย ในที่สุดก็ขอให้พระไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา เพราะว่าท่านเองไปไม่ไหว ขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาเยี่ยมหน่อย
พระท่านก็ไปนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จมา พระอัสสชิกราบทูลว่า “สงสัยว่าความดีของข้าพระพุทธเจ้าจะลดลงเสียแล้ว เพราะว่าตอนนี้รู้สึกเจ็บถึงขนาดนี้ ?”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัสสชิ..เธอเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเธออยู่หรือ ?” พระอัสสชิทูลตอบว่า “ไม่เคยเห็นว่าเป็นของตนเลยพระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นความดีของเธอไม่ได้ลดลง อาการเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของร่างกาย จิตยิ่งละเอียดมากเท่าไรก็รับรู้อาการได้มากขึ้นเท่านั้น ..”
นี่คือส่วนที่อธิบายให้พวกเราฟัง เพื่อจะได้เข้าใจว่า ไม่ใช่ว่านักปฏิบัติแล้ว จะไม่รับรู้การเจ็บการป่วย รับรู้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าไม่ได้ใส่ใจ ยังจำเป็นต้องใช้งาน ก็ใช้ไปเรื่อย ถึงเวลาเลิกใช้งานเมื่อไหร่ก็นอนแผ่
ถึงได้บอกว่าอธิบายให้ฟังยาก ค่อย ๆ ทำไป พอทำไปพอถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง ว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อท่านบอกว่า พระอรหันต์ฉันอาหารไม่ใช่ว่าไม่อร่อย อร่อยกว่าพวกคุณเยอะเลย เพราะประสาทท่านละเอียด รับรสอาหารได้หมด
เพียงแต่ว่า ท่านฉันแล้วไม่ได้ติดในรส ถ้าหากว่าไม่มี ก็ไม่ไปดิ้นรนแสวงหา หากว่ามี ก็ฉันในลักษณะรู้จักประมาณ ฉันไปพิจารณาไป เพื่อไม่ให้เป็นโทษแก่ใจตนเอง
หมายเหตุ :
*หนึ่งในอสีติมหาสาวก(พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ องค์) อยู่ในกลุ่มปัญจวัคคีย์ที่เป็นพระอรหันต์ชุดแรก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2012 เมื่อ 10:00
|