"หลังจากนั้นเปลี่ยนแผนใหม่อีก ใช้เรือเครื่องวิ่งตีคู่กันมา แต่ละลำจะลากเรือพายอีกลำหนึ่ง วิ่งผ่านหน้าวัดตอนกลางคืน กว่าจะรู้ว่าเขาเอาอวนผูกท้ายเรือพายก็โดนเขากวาดปลาไปเยอะแล้ว ถ้าเขาเอาอวนผูกท้ายเรือเครื่อง หางเรือจะไปพันอวน เขาเลยต้องเอาเชือกโยงเรือพายอีกลำหนึ่ง แล้วก็เอาอวนลงต่อจากเรือพาย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาประกาศทั้งทางโทรโข่งและติดป้ายประกาศ "เรือเครื่องทุกลำกลางคืนห้ามวิ่ง ใครวิ่งยิงหมด..!" พระในวัดโดยเฉพาะรุ่นพี่ ๆ เขาก็สนุก “ทำไมไม่เอาอาร์พีจีมาวะ ? บึ้มให้มันกระจายทั้งลำเลย..!” อาตมาบอกไปว่า “แล้วคนก็ตายห่_ไปด้วย”
ที่ขำ ๆ ก็คือ พวกปลาเขารู้จริง ว่าเรารักและปกป้องพวกเขา พออาตมาพายเรือลงไป พวกปลากระสูบตัวยาวเป็นเมตร เกิดอาการตื่นเต้นเหมือนอย่างกับสนุกด้วย มาว่ายข้างเรือแล้วก็พุ่งขึ้นจนน้ำกระจาย กระทั่งพวกทหารตำรวจเขาบอกว่า “พวกปลารู้ขนาดนี้เลยหรือ ?”อาตมาบอกว่า “เขารู้ว่าใครมาช่วย”
บางทีพอปลาติดเบ็ดราว อาตมาก็ลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่หัวเรือ แล้วลากขึ้นมาพาดตัก ตัวยาวล้นตักเลย แล้วค่อย ๆ แกะเบ็ดให้ กลัวปลาจะเจ็บ ปลาก็ร้องอุ๊ด ๆ ๆ เพิ่งจะรู้ว่าปลาร้องดังมากเลย อาตมาก็ตบ ๆ ตัวปลา “เฮ้ย..แหกปากร้องไปได้ พยายามทำเบา ๆ แล้ว” พอแกะเบ็ดเสร็จปลาก็พลิกตูมลงน้ำไป
ตอนช่วงแรก ๆ พอได้พวกเครื่องมือหาปลามา ตำรวจวัดเขามักจะมาอ้างว่าเป็นของกลาง แต่ได้ไปแล้วไม่ได้เอาไปโรงพัก เอาไปคืนเขา พอตอนหลังได้เครื่องมือหาปลามาแล้ว อาตมาจึงเผาทิ้งหมด เผาไปเผามา ๒ - ๓ ครั้ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “เฮ้ย..เก็บไว้หน่อย ถ้าไม่มีหลักฐานเดี๋ยวเขากล่าวหาว่าแกรังแกเขาฝ่ายเดียว เก็บเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะสร้างพิพิธภัณฑ์ให้” ก็เลยมีพิพิธภัณฑ์เครื่องมือจับปลาที่ข้างใต้มณฑปท้าวมหาราช"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-02-2012 เมื่อ 15:09
|