"สายที่ ๓ ฉฬภิญโญ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอภิญญา ๖ สายนี้ค่อนข้างที่จะโลดโผนหน่อย มีทิพโสต ทิพจักษุ และอาสวักขยญาณ คือการทำกิเลสให้สิ้นไปเหมือนกัน สายนี้ต้องเล่นกสิณ โดยเฉพาะกสิณ ๑๐ เป็นหลัก ก็จะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ เดินน้ำ ดำดิน แต่น่าเสียดายที่มีส่วนหนึ่งมัวแต่เพลิดเพลินอยู่ เลยทำให้เสียประโยชน์ ไม่เข้าถึงธรรมที่แท้จริง
พอไปสายสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งไว้ คือปฏิสัมภิทาญาณหรือปฏิสัมภิทัปปัตโต นอกจากมีความสามารถครอบคลุม ๓ สายที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีความสามารถพิเศษอีก ๔ อย่าง คือธรรมปฏิสัมภิทา รู้เหตุทั้งหมด อะไรเกิดขึ้นอย่างไร อรรถปฏิสัมภิทา รู้ผลทั้งหมด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดมาจากอะไร สืบสาวไปได้หมด
นิรุกติปฏิสัมภิทา เข้าใจภาษาทั้งหมด ทั้งภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษาของโลกทิพย์ และปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปัญญาเฉียบคม ว่องไวเป็นพิเศษ อธิบายของยากให้ง่าย อธิบายของสั้นให้ยาว อธิบายของยาวให้สั้น ย่อได้ ขยายได้ มีปฏิภาณแจ่มใส ใครก็ต้อนไม่จน สายนี้อาศัยกสิณเป็นหลักแล้วก็บวกอรูปฌาน ๔
ถ้าจะกล่าวต่อไป ก็แยกออกในลักษณะว่าใครชอบกรรมฐานหมวดไหน มีกสิณ ๑๐ อนุสติ ๑๐ อสุภกรรมฐาน ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความชอบเฉพาะตัว ว่ากันคร่าว ๆ ก็ปาไป ๔๐ อย่างแล้ว
แต่ความจริงแล้วที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมาทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าหากว่าผู้ใดตั้งใจฟังพิจารณาในเนื้อความสามารถเข้าถึงธรรมได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งชาดกที่เราเห็นเป็นเหมือนนิทาน บุคคลที่มีปัญญาก็จะเห็นว่าแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็ต้องทนทุกข์เวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้จบ ส่วนตัวเราจะพ้นไปได้อย่างไร ? ก็เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความอยากที่จะเกิดมาอีก กำลังใจตัดขาดลงได้ก็กลายเป็นพระอริยเจ้าไป"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2012 เมื่อ 15:14
|