พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหนังสือปกิณกธรรมที่ใส่รูปเอาไว้เยอะ นอกจากเพื่อพักสายตาแล้วยังเป็นอนุสติด้วย เสียดายรูปสวย ๆ สมัยก่อน ตอนหัดใช้กล้องใหม่ ๆ ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ไล่ถ่ายรูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ่ายไปถ่ายมาได้ยินเสียงสวรรค์ลงมาว่า “แกจำไว้นะ..ถ้าใครอยากเจ๊งก็ให้เล่นกล้อง..!”
จริง ๆ ด้วย กว่าจะถ่ายรูปเป็น หมดเงินไปเป็นหมื่นของสมัยนั้น เพราะว่าบางทีถ่ายทั้งม้วนได้มาจริง ๆ แค่ ๒-๓ รูป แต่บังเอิญว่าอาตมาเป็นคนช่างสังเกตและจำแม่นว่า รูปที่ออกมาดีและสวยอยู่ในสภาพอากาศอย่างไร แสงสีเป็นอย่างไร และถ่ายจากมุมไหน หลังจากนั้นก็ปรับปรุงตัวเองมาเรื่อย ๆ จากที่ทั้งม้วนขอแค่รูปสองรูป ก็เริ่มจะได้มากขึ้น
แบบเดียวกับภาพพระธาตุอินทร์แขวน ตอนนั้นอาตมาดูซ้ายดูขวา ดูหน้าดูหลัง ใกล้จะตะวันตกดินแล้ว ตะวันจะตกมุมนั้น ถ้าถ่ายพระธาตุจากตรงนี้ถึงจะสวย คำนวณทิศทางไว้หมดแล้ว ไปยืนรอถ่ายอย่างเดียว พวกฝรั่งก็สงสัยว่าพระรูปนี้ปีนขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ? พอเขาเห็นว่าถ่ายรูป คราวนี้กรูกันมาหมดเลย เพราะเขาเพิ่งเห็นว่ามุมนี้สวย
แต่ว่ารูปที่ถ่ายยากที่สุดก็คือรูปที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระอาทิตย์ที่นั่นตกไวมาก ถ่ายรูปแรกเสร็จจะถ่ายรูปที่ ๒ ตกลับไปครึ่งทางแล้ว ทำไมเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ?"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 12:39
|