พระอาจารย์กล่าวถึงผ้าไตรว่า "เดี๋ยวนี้ผ้าไตรพัฒนาไปเยอะ ปัจจุบันนี้ที่เขานิยมกันเป็นผ้ามัสลิน ถ้าเป็นผ้าฝ้าย ๑๐๐ % คนเห็นแล้วไม่ค่อยชอบ เพราะฝ้าย ๑๐๐ % ทอแล้วเนื้อจะเป็นขน แต่ว่าห่มสบาย แล้วก็มีผ้าโทเรซึ่งจะผสมโพลีเอสเตอร์ ๓๐ % มีผ้าไตรแพร ผ้าไตรแพรนี่จะลื่นมาก สวยอย่างเดียว แต่ห่มไม่ติด รัดอกดีแค่ไหนเดี๋ยวก็ลื่นหล่น
มีผ้าไตรไหม แบ่งเป็นไหมญี่ปุ่นกับไหมโคราช ไหมญี่ปุ่นว่าราคาแพงแล้ว ไหมโคราชยังแพงกว่าอีก ผ้าพวกนี้เป็นผ้าที่บ้านเรานิยมใช้กัน ถ้าเป็นตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ตามบทบาลีที่ว่า โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺคํ
โขมํ ผ้าเปลือกไม้ กปฺปาสิกํ ผ้าฝ้าย โกเสยฺยํ ผ้าไหม กมฺพลํ ผ้าขนสัตว์ สาณํ ผ้าป่าน ภงฺคํ ผ้าแกมกัน เป็นผ้าเนื้อผสม อย่างฝ้ายผสมโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น
แสดงว่า การทอผ้าในสมัยโบราณก็ก้าวหน้า เพราะว่าสามารถใช้หลายอย่างผสมกันทอขึ้นมาได้ บางทีถึงขนาดใช้เส้นเงินเส้นทองมาผสมเป็นเนื้อผ้า ทอออกมาแล้วหนักมาก ถ้าไม่แข็งแรงพอก็ยกไม่ไหว
ถ้าหากว่าใครที่สะสมผ้าโบราณหรือศึกษาเรื่องนี้มา เขาดูก็รู้เลยว่าผืนนี้ผสมอะไรบ้าง ไปขอซื้อจากคุณย่าคุณยาย แต่แกมักจะไม่ค่อยขาย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้เป็นผ้าประจำตระกูล ไว้รับขวัญ มีอบพวกบุหงาด้วย เปิดลังออกมาก็หอมตลบไปหมด"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 18:04
|