ขาดวิริยบารมี คือความพากเพียรไม่เพียงพอ ลำบากหน่อยหนึ่งก็ท้อเสียแล้ว หลายท่านที่บำเพ็ญในศีล สมาธิ ปัญญามา พอความดีเริ่มทรงตัว กิเลสก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าสภาพจิตของเราเหมือนกับเก้าอี้ตัวเดียว ถ้าความดีเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน
ในเมื่อเราเอาความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา เข้ามาในจิตใจของเรา กิเลสที่เป็นความชั่วต่าง ๆ อันเป็นต้นกำเนิดของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็อยู่ไม่ได้ ในเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนประท้วง
การทำความดีของเรานั้น ถ้าหากว่าเรียกกันตามประสาพระก็คือการบำเพ็ญตบะ คำว่า ตบะ ก็คือ ความร้อนที่จะเผาผลาญกิเลสให้สิ้นไป ในเมื่อเกิดตบะขึ้นมาเผาผลาญกิเลส ทำให้กิเลสเดือดร้อนก็ดิ้นรน แสดงออกในลักษณะที่ไม่ยินดี ไม่พอใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะอยู่ในลักษณะที่หลอกลวงเราว่าจะตายแล้ว เมื่อเป็นดังนั้น เราก็มักจะไปรามือให้กิเลส เพราะคิดว่าเราจะตายแล้ว แต่ความจริงนั่นเป็นอาการที่กิเลสจะตายต่างหาก
ในเมื่อขึ้นปีใหม่แต่ละครั้ง เรามีความตั้งใจว่าจะทำอะไรแล้วมักจะล้มเหลว ก็ต้องรู้จักทบทวนดูว่าเราบกพร่องตรงไหน จึงทำไม่สำเร็จตามที่ต้องการ โดยใช้อิทธิบาท ๔
อิทธิบาท คือ คุณเครื่องอันยังความสำเร็จมาให้ มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะกระทำให้สิ่งนั้น ๆ ถ้าหากว่ายินดีที่จะทำ เราก็จะทำได้ทนทำได้นาน แต่หากว่าเราไม่ยินดีที่จะทำ ทำเพราะอยากดี ถึงเวลาความดียังไม่ตอบกลับมา เราก็อาจจะท้อถอยหมดกำลังใจเสียก่อน
ข้อที่สองคือวิริยะ พากเพียรทำไปไม่ย่อท้อ ยากลำบากแค่ไหนก็จะต้องต่อสู้ฟันฝ่าไปให้ได้ บุคคลอื่นทำสำเร็จมามากต่อมากแล้ว เขาก็มี ๑๐ นิ้วเหมือนกับเรา มีอาการ ๓๒ เหมือนกับเรา เขาทำได้สำเร็จ เราก็ต้องทำได้สำเร็จได้เช่นกัน ถ้าเขาทำสำเร็จแล้วเราทำได้ไม่สำเร็จ ก็ต้องดูว่าเราบกพร่องตรงไหน โดยเฉพาะถ้าความเพียรไม่เพียงพอ โอกาสที่จะกระทำสิ่งใดสำเร็จก็เป็นไปโดยยาก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2012 เมื่อ 02:54
|