เมื่อภาวนาแล้วถอนออกมาพิจารณา สภาพจิตก็จะดำเนินการพิจารณานั้นไปเรื่อย จนกว่าจะถึงช่วงสุดท้าย ก็คือสภาพจิตรู้สึกว่าเข้าถึงจุดสุดท้ายแล้ว อย่างเช่นว่า เราไม่ต้องการร่างกายนี้ เราไม่ต้องการเกิดมาในโลกนี้ ตายแล้วเราขอไปพระนิพพาน ก็เอาจิตสุดท้ายเกาะพระนิพพานไว้ แล้วทำการภาวนาต่อไป
ในการปฏิบัตินั้น การภาวนาและพิจารณาจะต้องสลับกันไป เหมือนกับคนที่ผูกเท้าติดกัน ต้องผลัดกันก้าว เดี๋ยวเท้าซ้าย เดี๋ยวเท้าขวา จึงจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าก้าวเพียงข้างเดียว อย่างเช่นว่าภาวนาอย่างเดียว หรือพิจารณาอย่างเดียว ก็เหมือนกับคนที่ผูกขาติดกันอยู่ พยายามที่จะก้าวขาข้างเดียว ย่อมไม่สามารถที่จะไปได้ เพราะว่าจะโดนโซ่ที่ผูกอยู่นั้นรั้งกลับมา
เมื่อท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า จะต้องใช้วิธีไหนในการปฏิบัติจึงจะเจริญก้าวหน้า ก็ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปให้เต็มที่ วันหนึ่งอย่างน้อยให้มีเวลาเช้าและเย็น ๒ เวลา ที่เรามาปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ส่วนในระหว่างวัน เราเอาสมาธิจดจ่ออยู่กับการงานบ้าง หรือว่าพิจารณาเห็นสิ่งรอบข้างให้เห็นทุกข์บ้าง
ถ้าสามารถทำได้อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจะก้าวหน้าในการปฏิบัติมากขึ้น ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาไปตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๔
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2011 เมื่อ 02:58
|