ถาม : ทุกข์ในอริยสัจกับทุกข์ทั่วไปต่างกันตรงไหนคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คืออย่างเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราพิจารณาถึงต้นตอของทุกข์ได้จริงไหม ? ถ้าพิจารณาถึงต้นตอของทุกข์ได้จริง ๆ แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังอยากจะโยนทิ้ง เพราะว่าเป็นสาเหตุของทุกข์เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าพอกล่าวถึงความทุกข์ในอริยสัจ ท่านรวบยอดใช้คำว่า สิ่งที่ทนได้ยากคำเดียว แต่ทุกข์ทั่ว ๆ ไปท่านแยกออกเป็น สภาวทุกข์ ทุกข์ที่เกิดขึ้นตามสภาพ เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย นิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย การปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ
ปกิณกทุกข์ ทุกข์จรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้ามา อย่างเช่น กระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ได้สิ่งที่ไม่รัก ไม่ได้ในสิ่งที่รัก ก็แค่แยกแยะละเอียดลงไปเท่านั้นเอง ท้ายสุดก็เลยรวมลงไปตรงคำว่า สิ่งที่ทำให้เราต้องทนลำบาก
ถาม : แล้วพวกอภิธรรมที่เขาแยกทุกข์ทั่วไป ?
ตอบ : เกินความรู้ของเรา นั่นสำหรับคนที่จะไปเป็นครูสอนเขา คือคนที่จะไปเกิดไปเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ก็ศึกษาให้ละเอียดเข้าไว้ แต่ถ้าเราต้องการแค่บรรลุธรรมก็ไม่ต้องไปศึกษาตรงนั้น
ถาม : ทุกข์ทั้งโลกนี่คือทุกข์ในอริยสัจ ?
ตอบ : ใช่...รวมอยู่ในทุกข์ของอริยสัจ
ถาม : แล้วตัวอวิชชาที่ท่านอธิบายว่า รู้ไม่จริงในทุกข์ ท่านแยกเป็นฉันทะกับราคะ ตัวฉันทะพอเข้าใจ แต่ตัวราคะไม่เข้าใจ ?
ตอบ : ดอกไม้สวยไหม ? ถ้าสวยก็เกิดความพอใจขึ้นมาก็คือฉันทะ ในเมื่อเกิดความพอใจขึ้นมาก็เกิดความอยากมีอยากได้ ราคะก็คือความอยากมีอยากได้
ถาม : นั่นคือตัณหา ?
ตอบ : ก็คือสิ่งที่เรากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดไปยินดีพอใจ อยากมีอยากได้ขึ้นมา หรือไม่ก็กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วไม่พอใจ ก็ผลักไสไม่ต้องการ..เจ๊งทั้งคู่
ถาม : ฉันทะกับราคะแยกกันไม่ได้
ตอบ : ถ้าจิตไม่ละเอียดจริงก็แยกกันไม่ได้ เพราะทันทีที่เกิดฉันทะ อารมณ์ใจจะปรุงเร็วมากเลย ชอบหรือไม่ชอบ ชอบก็เป็นราคะ ถ้าไม่ชอบก็เป็นโทสะ แต่ว่ารวมแล้วก็คือ ความไม่รู้ทำให้จิตไปปรุงแต่ง จึงได้บอกว่า ต้องสักแต่ว่าเห็น ต้องสักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส อย่าให้เข้ามาในใจของเรา ถ้าเข้ามาเมื่อไรก็จะทำอันตรายเราทันที
ดีแล้ว...รักษาอารมณ์ไว้ เพียงแต่ลดความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่รู้แล้วไม่ช่วยให้ตัดกิเลส ทางเราก็จะไปสะดวกขึ้น
ถาม : เวลาฟังธรรมหรืออ่านหนังสือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ รู้สึกเกิดความเคารพรักท่าน เป็นเพราะว่าเราฟังแล้วเรายึดติดในตัวท่าน ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น หรือเป็นเพราะจิตเราคล้อยตามเพราะเราพัฒนาขึ้น ?
ตอบ : ถ้าพัฒนามากขึ้นจะสังเกตว่า เรายิ่งอ่าน เราก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน บางส่วนอาจจะรู้สึกว่าคราวที่แล้วเราอ่านไม่พบ คราวนี้ทำไมเราอ่านพบ ก็คือว่าสภาพจิตตอนนั้นยังหยาบอยู่จึงมองข้ามไป แต่พอจิตเราละเอียดพอ เราอ่านก็สะดุดใจ เข้าใจทันที เป็นพัฒนาการที่มากขึ้น ๆ
ในเมื่อเกิดขึ้นจากคำสอนของท่าน เราก็เห็นคุณของความเป็นพระสงฆ์ของท่าน ว่านี่คือสังฆคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ร่างกายของท่าน แต่นั่นคือความดีของท่านที่ท่านรู้ธรรมแล้วนำมาสอนเรา เราก็จะเกิดความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ใช่เคารพแต่เปลือก
ถ้ามีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจเมื่อไร ก็แปลว่าบันไดขั้นแรกเราแตะได้แล้ว ให้เหยียบให้มั่นคงโดยเสริมศีลให้ดี สร้างสมาธิให้เกิด ตั้งใจว่าถ้าตายแล้วขอไปพระนิพพาน ถ้าทำอย่างนั้นได้ครบ ก็แปลว่าบันไดขั้นแรกเรายึดได้แน่นอนแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-12-2011 เมื่อ 14:31
|