ดูแบบคำตอบเดียว
  #85  
เก่า 21-12-2011, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,234 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมชอบกำหนดพุทโธควบกับลมหายใจครับ พอมีความคิดแทรกขึ้นมาพุทโธก็จะไม่จับ ผมใช้หลายวิธีครับ บางทีก็ชอบนึกเป็นตัวอักษรว่าพุทโธ บางทีก็นึกคำขึ้นมาเฉย ๆ พอทำไปเรื่อย ๆ พุทโธก็หายไปครับ บางทีก็ฟุ้งซ่าน บางทีหลับก็มีครับ ผมอยากจะขออุบาย
ตอบ : ไม่ต้องขอ..ที่ทำอยู่นั้นดีแล้ว เพียงแต่เราไม่เข้าใจอารมณ์นั้น จริง ๆ แล้วถ้าฟุ้งซ่านขึ้นมาให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจทันที

แต่พอทำไประยะหนึ่ง พอจิตเริ่มทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจจะเบาลง บางทีคำภาวนาก็หายไป เรามีหน้าที่กำหนดรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น อย่าอยากให้เป็นและอย่าอยากให้หาย เรามีหน้าที่ตามดูอย่างเดียว สมาธิจะดำเนินไปเอง มีลมหายใจก็รู้ว่ามีลมหายใจ ลมหายใจเบาลงก็รู้ว่าลมหายใจเบาลง ไม่มีลมหายใจก็รู้ว่าไม่มี ลมหายใจ ถ้าเริ่มต้นอะไรไม่ถูกให้กลับมาอยู่ที่ลมหายใจใหม่

ถาม : ถ้าเราใช้ความคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ว่า วันนี้เราทำอะไรบ้าง จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่..แต่บางอย่างเราควบคุมได้ไหม ? ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เวลาเราคิดก็จะเตลิดเปิดเปิงไม่รู้จบ คือคิดไปตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ พอค่ำเสร็จหมดวันแล้วก็เริ่มต้นคิดใหม่ตั้งแต่เช้าอีก ความรู้สึกของเราจะวนรอบไปเรื่อย ๆ

ถ้าจะคิดก็ให้คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น คิดถึงคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คิดว่าศีลมีคุณอย่างไร ? ทานมีคุณอย่างไร ? คิดถึงว่าสภาพร่างกายของเรานี้ไม่ดีอย่างไร ? คิดว่าท้ายสุดแล้วเราก็ตาย ตายแล้วเราจะไปไหน ? หรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร ? เกิดขึ้นมาค่อย ๆ โตขึ้น เดี๋ยวก็แก่ลง ท้ายสุดแล้วก็ตาย

เป็นทุกข์อย่างไร ? ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ เกิดก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ เศร้าโศกเสียใจก็ทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังก็ทุกข์ แล้วท้ายสุดมีอะไรเป็นเราเป็นของเราบ้าง

หัวหูหน้าตาทั้งหมดนี้เราลองชี้ดู..มีอะไรที่เป็นของเรา จิ้มไปตรงไหนก็ไม่ใช่ทั้งนั้น ตรงนี้ก็หน้า ตรงนั้นก็ตัว ตรงนั้นก็นิ้ว ตรงนี้ก็เท้า สรุปว่าร่างกายนี้เกิดจากธาตุ ๔ รวมกันขึ้นมาให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วคราว ท้ายสุดก็พังไป ยึดถือเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง พอรถหมดอายุก็พัง เราที่เป็นคนขับรถก็ต้องไปหารถยนต์คันใหม่

ถ้าเราทำความดีไว้มากก็ได้รถดี ๆ ก็คือเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นเทวดา เป็นพรหม ถ้าทำความชั่วไว้มาก ก็ได้รถห่วยแตกใช้การไม่ได้ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอย่างนี้ไม่รู้จบ ในเมื่อเราอยากจบมีที่เดียวคือพระนิพพาน

คราวนี้พระนิพพานเราเองก็ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ต้องเอาสิ่งที่แทนพระนิพพาน ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากอยู่ที่พระนิพพาน เราก็นึกถึงพระองค์ท่าน เอาใจเกาะพระองค์ท่านไว้ ว่าพระองค์ท่านอยู่ที่ไหน ถ้าเราตายก็ขอไปอยู่ที่นั่นด้วย พอความคิดมาลงตรงจุดนี้เราก็ภาวนาต่อ ภาวนาจนกำลังใจไปต่อไม่ได้ก็คลายออกมาคิดใหม่

ถ้าเราไม่หาเรื่องดี ๆ ให้ใจคิด เดี๋ยวใจก็จะคิดเอง ถ้าใจคิดเองก็จะฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะฟุ้งซ่านแรงมาก เพราะได้กำลังจากสมาธิของเราไปฟุ้ง เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาภาวนาเสร็จทุกครั้ง ควรจะพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราไว้ด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา