ถาม : เราฟังคำสอนมาว่า เราคือตัวคนเดียวท่องเที่ยวไป พอเกิดอารมณ์รักขึ้นมา เราก็มาคิดว่า เออ..ผลสุดท้ายก็ตัวคนเดียว แต่มีความรู้สึกว่าเป็นแค่สัญญา ยังไม่ใช่ปัญญา
ตอบ : ไม่ใช่ปัญญา นั่นอยู่ในลักษณะประชด ถ้าประชดชีวิตลักษณะนั้น ผิดพลาดขึ้นมาจะกลายเป็นโทสะ
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเป็นปัญญาจริง ๆ ?
ตอบ : ถ้าใจยอมรับโดยไม่กำเริบใหม่ ถึงจะเป็นของจริง
ถาม : เวลาคิด..?
ตอบ : ต้องคิดไปก่อน คิดย้ำบ่อย ๆ เป็นจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดไปก่อน ถือว่าช่วยได้ระดับหนึ่ง หลังจากนั้นจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญารู้แจ้งเพราะเห็นตามความเป็นจริงแล้วจิตยอมรับ ถ้าอย่างนั้นก็จะถอนตัวหลุดออกมาได้
ถาม : คิดบ่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คิดบ่อย ๆ ก่อน พอกำลังสมาธิถึง ก็จะช่วยปัญญาตรงนั้นตัดขาดเลย แต่ถ้ากำลังสมาธิไม่ถึง ปัญญาดีแค่ไหนก็ไปไม่รอด
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเชือก ๓ เกลียว ฟั่นอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไรก็ใช้งานไม่ได้
ถาม : หลายครั้งจัดการตัวเองไม่ได้ค่ะ แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ใช้วิธีเอาตัวรอดว่า เออ..เราโง่ที่เกิดมาเอง เดี๋ยวก็จบ เดี๋ยวก็ตาย ตรงนั้นจะตัดได้ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างนั้นถือว่าเป็นการตัดระดับหนึ่ง ในเมื่อเรื่องใหญ่เกินกำลังของเรา เราต้องมีปัญญารู้ว่าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องวาง จัดเป็นอุเบกขา ถือว่าเป็นการตัดในระดับหนึ่ง จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเราไม่ไปแบกไว้ตั้งแต่แรก เราก็ไม่ต้องวาง ส่วนใหญ่จะไปแบกกันเสียเยอะ ก็เลยต้องมาวาง
ถาม : ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราไม่มีปัญญาจะจัดการ เราก็ตัดไปเลย ?
ตอบ : เหมือนกับเรารู้ว่าไฟนั้นร้อน จะต้องไหม้เราแน่ ๆ เราก็ไม่แหย่มือเข้าไป เราก็ไม่ไปยุ่งกับไฟ แต่ถ้ามีปัญญามากกว่านั้น รู้ว่าไฟเกิดจากอะไร เราไม่ไปยุ่งกับสาเหตุนั้น ไฟก็ติดขึ้นมาไม่ได้ ก็ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้ามีปัญญาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก็จะไปตัดที่ต้นเหตุอย่างนี้
เหมือนรถม้าที่วิ่งจนจะตกหน้าผา เราก็รั้งไว้สุดชีวิต เราจะได้ไม่ตาย แต่หลังจากนั้นก็อย่าทะลึ่งไปขึ้นรถม้า จะได้ไม่ต้องไปตกหน้าผาแบบนั้นอีก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 02:30
|