๙. “
อย่าฝืนจิต ในเมื่อไม่มีอารมณ์วิปัสสนาก็จงอย่าฝืน ให้คอยตามดูอย่างเดียว ทำอารมณ์ใจให้สบาย ๆ จักได้ไม่หนักใจ อย่าใช้ปัญญาออกนอกลู่นอกทาง ให้คิดไว้เสมอว่า
ปัญญาในพุทธศาสนาคือการรอบรู้ในกองสังขาร ก็จงมองจุดนี้จุดเดียว ซึ่งเป็นจุดสำคัญอันจักนำไปให้จิตหลุดพ้นจากสักกายทิฏฐิ หรือความผูกพันเกาะติดในขันธ์ ๕ หรือร่างกายนี้ อย่าไปคิดว่าเรื่องของคนอื่นจักสำคัญ ให้เห็นจุดนี้แหละ ที่
โยงมาจากศีล-สมาธิมาเป็นปัญญา นี่แหละสำคัญ... เป็นสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริง ปฏิบัติไปก็จักได้มรรคผลปฏิปทาที่พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง และให้ดูมัชฌิมาไว้ด้วย อย่าเครียด อย่าหย่อนจนเกินไป ทำให้พอดี ๆ จิตจักมีความสุขมาก ความหน่วงเหนี่ยวในขันธ์ ๕ จักเบาบางลงไป พิจารณาลงกฎของธรรมดาให้มาก จิตจักได้มีอารมณ์เยือกเย็น และยอมรับกฎของธรรมดา จนสามารถพ้นทุกข์ได้จนถึงที่สุด”
๑๐. “อย่าไปแก้ธรรมภายนอก
ให้แก้ธรรมภายใน อารมณ์ใจของเรานี้คือธรรมภายใน ธรรมภายนอกจักเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ให้เห็นเป็นธรรมดาเข้าไว้ ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข เหมือนกับอายตนะ ๖ รับสัมผัสธรรม แก้ไขอะไรไม่ได้ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส กายได้รับสัมผัส ก็เป็นอยู่ตามปกติอย่างนั้น ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กายก็เป็นอย่างนั้น รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสก็เป็นอย่างนั้น ธรรมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข เป็นปกติธรรมทุกอย่าง เป็นธรรมดาหมดทุกอย่าง ให้
แก้ไขอารมณ์ใจที่ไปเกาะติดและปรุงแต่งธรรมเหล่านั้นขึ้นมาให้เป็นกิเลส”
๑๑. “
ให้ดูจิต เห็นอารมณ์ของจิตเข้าไว้เป็นสำคัญ จงพยายามดูไฟภายในเข้าไว้ กิเลสหรือสังโยชน์ตัวไหนยังกินใจอยู่ หนักอยู่หรือไม่ แล้วทำอย่างไรให้จิตมีปัญญาพิจารณาสังโยชน์ตามความเป็นจริง อย่าให้อารมณ์จิตมันหลอก ดีแต่จำ นึกได้แค่สัญญา จุดนั้นประโยชน์จักเกิดขึ้นน้อยมาก ให้
พยายามใคร่คราญด้วยเหตุผลอยู่เสมอ ๆ แล้วผลของการปฏิบัติพระกรรมฐานจักก้าวหน้าไปได้”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com