พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่วันหนึ่ง ตอนฉันอาหาร อาตมาก็จิ้มอาหารใส่ปาก ท่านกอล์ฟก็จิ้มใส่ปาก หลวงตาปรีชาเห็นสองคนแย่งกันจิ้มอาหารก็เอาบ้าง พอใส่ปากหลวงตาปรีชาร้องว่า “หือ..มันบูดแล้วนี่อาจารย์ ?” "ก็ผมไม่ได้บอกว่าดีนี่หว่า..!"
ถาม : ต้องฉันหรือครับ เพราะบูดแล้ว ?
ตอบ : ฉันให้รู้ว่ากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน พระรัฐบาลเถระท่านก็ฉันอาหารบูด นางทาสีจะเอาอาหารทิ้งแล้ว เดินมาที่ประตูรั้ว พระรัฐบาลเถระท่านก็บอกว่า "ภคินิ..ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเธอจะทิ้งก็เทใส่บาตรของเราก็แล้วกัน" แล้วท่านก็นั่งฉัน พ่อมาเห็นนี่แทบจะร้องไห้ ลูกมหาเศรษฐีมากินของบูด..!
หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะปลงพระเกศา อธิษฐานเพศเป็นนักบวช พอบิณฑบาตครั้งแรกออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว ปูอาสนะนั่งลง เปิดบาตรเห็นอาหาร ท่านรู้สึกว่าเหมือนไส้จะพลิกกลับออกมาข้างนอก ก็คืออยากจะอาเจียนเดี๋ยวนั้น
เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาว่า การที่เราตั้งใจออกบวชเพื่อปฏิบัติธรรมนั้น ความยากลำบากทั้งหลายมากกว่านี้หลายเท่านัก ถ้าอาหารอย่างนี้ยังฉันไม่ได้ แล้วจะไปประพฤติธรรมได้อย่างไร ? อย่าลืมตอนนั้นท่านยังไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ ท่านยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ได้ตรัสรู้
ท่านอยู่แบบสุขุมาลชาติ มีปราสาท ๓ ฤดู อาหารวิเศษแค่ไหนก็มีให้ แล้วต้องไปกินอาหารของชาวบ้าน อย่างนางปุณทาสีมีแป้งจี่ใส่ชายพกมา แป้งจี่ก็คือโรตีนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านรับมาก็นั่งเสวย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 21-05-2019 เมื่อ 12:50
|