ถาม : อย่างเราไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แต่จิตก็ยังฟุ้งซ่านไปเอง ?
ตอบ : จิตจะปรุงแต่งเองเป็นปกติ เพราะเรารู้ไม่เท่าทัน ดังนั้นเราถึงต้องใช้สมาธิมาช่วย ถ้าเราอยู่กับสมาธิเฉพาะหน้า จิตจะไม่คิดเรื่องอื่น ก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกแค่นี้ แต่ถ้าหากเราหลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าตรงนี้เมื่อไร ถ้าไม่ไปอดีต ก็จะไปอนาคต แล้วจะสร้างทุกข์ให้เราในทันที ส่วนใหญ่ก็จะไปโหยหาอาลัยกับอดีต แล้วก็จะไปฟุ้งซ่านกับอนาคต ซึ่งทุกข์ตั้งแต่คิดแล้ว อย่าว่าแต่ทำเลย
ถาม : บางทีเราไม่ได้ไปคิดอดีต เราแค่มอง แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอดีต
ตอบ : ถ้าหากว่าจิตเราละเอียดพอ เราจะรู้ว่ามาจากอดีตหรือฟุ้งไปในอนาคต ขอให้เรารู้ว่าเราหลุดจากปัจจุบันไปแล้ว ถ้าหลุดไปจากตรงนี้เมื่อไรก็เริ่มเสร็จกิเลสแล้ว
ถาม : แล้วเราจะรู้ว่าสาเหตุมาจากอดีตหรืออนาคตได้อย่างไร ?
ตอบ : ค่อย ๆ ปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง พอสมาธิดีขึ้น ปัญญาเกิด ก็จะรู้ทันได้ เราจะเห็นช่องทางมากขึ้น แล้วก็จะประคับประคองตัวเราให้รอดได้
แต่ที่ยังไม่รอดเพราะสมาธิไม่ทรงตัว ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้คือ
ทำสมาธิเสร็จแล้วเราทิ้งเลย ก็เลยกลายเป็นรัก โลภ โกรธ หลงเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่านกันใหญ่ ทำอย่างไรเวลาเราปฏิบัติพอกำลังใจนิ่ง รัก โลภ โกรธ หลงสงบลงได้ชั่วคราว แล้วเราจะรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด
ยิ่งทำนานขึ้น ๆ สภาพจิตยิ่งผ่องใส ปัญญาจะยิ่งเกิด ก็จะเห็นช่องทางที่เราจะแก้ไข พลิกแพลง เอาตัวรอดจากตรงนั้นได้ จนกว่าสภาพจิตจะมีกำลังเพียงพอที่สามารถจะหยุดปรุงแต่งได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 17:57
|