เปรียบเหมือนกับเวลาที่รถยนต์พังแล้ว เราก็ต้องไปหารถคันใหม่ ถ้าหากว่าทำความชั่วไว้มากก็ได้รถพัง ๆ ขับไปซ่อมไป อาจจะเป็นจักรยานโปเกสักคันหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าหากว่าสร้างกรรมดีไว้มาก ก็ได้รถยนต์ยี่ห้อดี ๆ อาจจะเป็นบีเอ็ม หรือว่าเบนซ์ หรืออาจจะเป็นรถสปอร์ตแรงสูงไปเลยก็ได้ บางท่านอาจจะหรูเลิศไปกว่านั้น มีเครื่องบินส่วนตัวไปอีกต่างหาก
ดังนั้น...ถ้าเรารู้ว่าความตายมาประชิดติดเราอยู่เสมอ แล้วเราเป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล คือรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง กำหนดมีสติรู้อยู่เฉพาะหน้าว่า เราต้องตายแน่นอน ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว
ถ้าเราปักใจแน่วแน่เช่นนี้ได้ แปลว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเรานั้น อยู่ในระดับที่พอจะอาศัยได้ ถ้ามั่นคงจริง ๆ ก็สามารถระบุได้อย่างแน่นอนว่ามีสุคติเป็นที่ไป หรือถ้าสามารถปล่อยวางความดีความชั่วทั้งปวง ไม่ปรารถนาการเกิดมาในโลกนี้ ไม่ปรารถนาการมีร่างกายเช่นนี้อีก ก็สามารถที่จะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้
สำหรับวันนี้ให้ทุกท่านกำหนดการภาวนาไปตามอัธยาศัย โดยเอาสติกำหนดรู้ไปด้วยว่า ชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว ถ้าหากว่าตายไปเมื่อไร เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ให้เอาใจจดจ่อตั้งมั่นเอาไว้ดังนี้ แล้วกำหนดภาวนาไปตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2011 เมื่อ 11:27
|