เมื่อเป็นดังนั้น ก็ขอให้ทุกท่านไม่ว่าจะนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ในสถานที่นี้ก็ดี หรือว่าท่านที่ฟังการถ่ายทอดเสียงอยู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศก็ดี ให้ทุกคนรู้ตัวอยู่เสมอว่า เราเกิดมาแล้วต้องตาย ความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ไม่สามารถที่จะกำหนดแน่นอนได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน
ในเมื่อความตายอยู่ประชิดติดเราจนขนาดนี้ เราก็ควรจะเร่งขวนขวายปฏิบัติในความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อสั่งสมความดีอันเป็นบุญกุศล เปรียบเหมือนเป็นเสบียงอาหาร เปรียบเหมือนยานพาหนะในการเดินทางไกลเพื่อข้ามห้วงวัฏสงสาร ยิ่งเรามีการเตรียมพร้อมมากเท่าไร เราก็จะสบายมากเท่านั้น มีความหวาดหวั่นต่อความตายน้อยเท่านั้น บุคคลที่มีการเตรียมพร้อมย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดง่าย ๆ
ในเมื่อเราเตรียมพร้อมที่จะตาย ถึงเวลาความตายเข้ามา เราก็ไม่ได้หวั่นไหวต่อความตาย เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะตายเอาไว้เสมอ ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เป็นเพียงการเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนร่างกายนี้ไปเท่านั้น
ถ้าจะเปรียบไปแล้วร่างกายของเรานี้ก็เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ตัวเราคือจิตที่มาอาศัยอยู่ตามบุญตามบาปที่ได้สร้างไว้ในอดีต เปรียบเหมือนกับคนขับรถ ถึงเวลารถยนต์หมดสภาพพังไป คนขับรถก็เปิดประตูออกมา ไปหารถคันใหม่ขับ
การตายของอัตภาพร่างกายนี้ก็ลักษณะเดียวกัน พอถึงเวลาร่างกายนี้เสื่อมสลายตายพังลงไป จิตคือตัวเรานั้น ก็ต้องไปแสวงหาร่างกายใหม่ในภพภูมิใหม่ ๆ ตามความดีความชั่วที่เราได้ทำไว้
ถ้าเราสร้างความดีไว้มาก ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีความดี ความงาม ความสมบูรณ์ พร้อมด้วยเครื่องอุปโภค บริโภค และทรัพย์สินทั้งปวง ถ้าสร้างความดีมากยิ่งขึ้นก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ถ้าไม่นิยมการเกิดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน
แต่ถ้าหากว่าเราทำสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้มาก ก็จะมีทุคติภูมิเป็นที่ไป อย่างดีหน่อยก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็มีความทุกข์มากมายกว่าคนหลายเท่า แย่ลงไปอีกก็เป็นอสุรกาย แย่ลงไปกว่านั้นก็เป็นเปรต ถ้าแย่ที่สุดก็เป็นสัตว์นรก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2011 เมื่อ 12:15
|