"ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นเสือ แต่ในสภาพตอนนั้นไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว พริบตาแรกที่ปะทะกัน ความเร็วระดับนั้นสายตามนุษย์น่าจะดูไม่ทัน เราโดนไปเต็ม ๆ แต่ไม่เป็นไร มาเข้าใจทีหลังว่าเป็นจ่าฝูงที่หนังเหนียว มีเขี้ยวตัน..! โดนเขาตบไปเต็ม ๆ ชาไปทั้งแถบ..! ปะทะกี่ทีเราก็ไม่เป็นอะไร แต่ฝ่ายเขาได้แผลทุกที เขาก็แย่
ครั้งสุดท้ายเขาพุ่งมาปะทะ เราก็ขวิดทิ้งเลย มั่นใจว่าทีเดียวไม่รอดแน่ เพิ่งจะรู้ตอนนั้นแหละว่าหมูป่ากินเนื้อด้วย พอขวิดทิ้งเขาร่วงลงไป ตัวอื่นที่เหลือก็ช่วยกันฉีกเป็นชิ้น ๆ กินกัน ตอนนั้นทำให้รู้หลายอย่าง รู้ว่าสัตว์เขาก็คือคนนี่แหละ เพียงแต่อยู่ในร่างสัตว์ เขามีความคิด มีความโกรธ มีความรักเหมือนกันหมดทุกอย่าง เพียงแต่การแสดงออกของเขา ถ้าเราไม่ใช่สัตว์ด้วยกัน ส่วนมากเราจะดูไม่ออก
อย่างหมาจะมีภาษาเสียง มีภาษากาย มีภาษาใจอีกด้วย แต่พวกนี้ของเราเสื่อมหมด เหลือแค่ภาษาเสียง และภาษากายอีกไม่กี่ท่าเท่านั้น ทำให้เราต้องไปศึกษาภาษาคนอื่นจึงจะเข้าใจเขาได้ ลองเอาหมาข้างถนนไปโยนไว้ที่กลางกรุงลอนดอนสิ เขาคุยกับหมาฝรั่งรู้เรื่องเดี๋ยวนั้นเลย แสดงว่าเขาเก่งกว่าเราเยอะ
ตอนนั้นทำให้เรารู้ว่า สัตว์ก็คือคนนี่เอง เป็นสภาพจิตที่มืดบอด แล้วก็ไปเกิดอยู่ในสภาวะของความเป็นเดรัจฉาน ความคิด ความรู้สึกเหมือนคนหมด เพียงแต่การแสดงออกเขาได้เต็มที่แค่อย่างที่เราเห็น ประการที่สอง เข้าใจเลยว่ารัก โลภ โกรธ หลงกินทุกสรรพชีวิต แม้กระทั่งในความเป็นสัตว์ก็ยังถูกกินเต็ม ๆ
ทำให้ได้เห็นชัดว่า สิ่งทั้งหลายเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วน พวกเราสร้างกรรมชั่วไว้มาก ถ้าหากเผลอลงข้างล่าง เขาคิดดอกทบต้นเมื่อไร ไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกนาน มีทางเดียวต้องหนีให้ได้ ที่จะหนีได้มีที่เดียว คือพระนิพพาน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2011 เมื่อ 01:59
|