เมื่อนักปฏิบัติกำลังใจทรงตัวแล้วกระทบกับโลกธรรม มีความยินดียินร้ายหรือไม่ ? ต้องดูกำลังใจของตนเอง ถ้าไม่ยินดียินร้ายกับโลกธรรม ก็จะอยู่ในลักษณะที่ไม่ไปไขว่คว้าหรือไม่ไปผลักไส ไม่ว่าในส่วนอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าพอใจ หรืออนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ
ถามว่าจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกอย่างไร ? ถ้าไม่ยินดีในสิ่งที่คนอื่นเขาต้องการ ก็ต้องทำตัวในลักษณะที่ว่าไม่ไปไขว่คว้ามาจนเกินพอดี แต่ถ้ามีก็ไม่ขับไสไล่ส่ง เพราะว่าการที่เราไปดิ้นรนไขว่คว้าจนเกินพอดี ย่อมจะสร้างทุกข์สร้างโทษแก่เรา แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายได้มาด้วยความดี ความสามารถของเราเอง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผลักไส เพียงแต่ว่าให้รับไว้อย่างมีสติ
มีสติรู้อยู่ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ท้ายสุดก็ดับไป ถ้าเราเห็นธรรมดาของโลกได้ ก็จะเกิดการปล่อยวาง ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น เมื่อพบกับอารมณ์ที่น่ายินดีก็ไม่ไปยินดีจนเกินงาม เมื่อพบกับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดี ก็ไม่ไปยินร้ายด้วย จิตใจจะอยู่ในสภาพเป็นกลาง ที่เรียกว่า อัพยากตารมณ์ คืออารมณ์กลาง ๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย
ถ้าสามารถวางกำลังใจเช่นนี้ได้ ก็จะเกิดสภาพจิตที่ได้กล่าวก่อนเจริญกรรมฐานว่า ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะนะ กัมปะติ จิตที่กระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว ซึ่งองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เป็นเอตัมมัง คะละมุตตะมัง เป็นมงคลอันสูงสุด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-07-2011 เมื่อ 13:05
|