นักปฏิบัติอย่างพวกเรา เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ใช่แต่การทรงศีล สมาธิ ปัญญาเฉย ๆ แต่ว่าเราต้องเอากำลังในการปฏิบัติที่เกิดจากศีล สมาธิ และปัญญานี้มาใช้ในชีวิตจริง ชีวิตจริงของเราที่ดำเนินอยู่ในโลกนี้ ก็จะต้องพบกับโลกธรรมทั้ง ๘ ประการนี้เป็นปกติ
เมื่อกระทบกับโลกธรรมทั้ง ๘ นี้ ไม่ว่าจะมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ได้รับคำสรรเสริญหรือถูกนินทา มีสุขหรือมีทุกข์ เรายินดีหรือยินร้ายหรือไม่ ? ความยินดีความพอใจนั้น ก็คือส่วนของราคะ เป็นรากเหง้าใหญ่ของกิเลส ความยินร้ายก็เป็นส่วนของโทสะ เป็นรากเหง้าใหญ่ของกิเลสเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ว่าในส่วนของความยินร้ายนั้น เราสามารถที่จะผลักไสถอดถอนไล่ออกจากใจได้ง่าย เพราะเป็นอารมณ์ที่ไม่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจของเราอยู่แล้ว ในส่วนของลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนั้น เป็นส่วนที่ทุกคนปรารถนา ทุกคนต้องการ กลับมีโทษมากกว่า เพราะเรายินดี อยากมีอยากได้ ไปไขว่คว้าหามา จึงไม่เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นำพาให้เราเกิดทุกข์เกิดโทษอย่างไร ถ้าเราไปยินดี ไปยึดมั่น ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้
ดังนั้น..ในเรื่องที่ดี ๆ นั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากกว่า เพราะทำให้เรายึดติดได้ง่าย สู้ให้เป็นเรื่องร้ายไปเลยจะดีกว่า เพราะเรื่องร้ายเราไม่ยินดีและพยายามที่จะผลักไสออกไปอยู่แล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-07-2011 เมื่อ 08:51
|