"สมัยก่อนที่ฉันปฏิบัติแรก ๆ เราก็โง่แบบนี้แหละ อาหาเรฯ เหมือนกัน
ไม่เหล่ด้วย อยู่แค่ไหนแค่นั้น กินมันแค่มือตก อร่อยไม่อร่อยเราก็ไม่สนใจ
กินมันอิ่ม ก็เลิก มันก็ไม่จัดว่าดี จัดว่าเคร่งไป เขาเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
ตั้งใจเกินไป ร่างกายมันก็ทรุดโทรม"
"พอร่างกายทรุดโทรม ถึงเราจะพยายามรักษาฌานสมาบัติเราดี
แต่ว่ามันทำให้การคิดของเรามันไม่ผ่องใส คือมันไม่โปร่ง
มันไม่เหมือนร่างกายเราดี ๆ เวลาเราคิดอะไร มันโปร่ง
เหมือนคนสมองโปร่ง เวลาอาหารน้อย ๆ เลือดเลี้ยงสมอง
ก็พลอยน้อยไปด้วย ลมในร่างกายก็ต่ำ การควบคุมอารมณ์ตัวเองก็ต้องใช้
กำลังสมาธิสูงเข้าควบคุม ถ้าสมาธิน้อย ๆ ก็ควบคุมไม่อยู่ แสดงว่า
อารมณ์อาจจะแปรปรวนมากกว่านี้ เพราะร่างกายเราทรุดโทรม ทรุดโทรมเกินไป"
"ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าเราจะกินอย่างไรก็ช่างเถอะ ที่แน่ ๆ สัญญาของใจเรา
ที่เรารู้อยู่ชัด ๆ ว่า มันคือสิ่งที่สกปรกทั้งนั้น ไม่มีอะไรสะอาด อร่อยก็สกปรก
คิดไปอย่างนั้นลูก ของที่ว่าอร่อยก็สกปรก ไม่ใช่ของสะอาด สกปรกทั้งสิ้น
แต่ก็ต้องกิน กินเพื่อไม่ให้มันทุกขเวทนาทรมานเรา มันอยากกินก็กินเข้าไป
ไม่ให้มันกินก็ทรมานใจเรา ถ้ากรรมมันเป็นอย่างนั้น ก็ปล่อยมันไปลูก"
เอ้า! ท่านจิตโตว่าอย่างนั้น เราก็ไปกินต่อได้
"ถ้าตัวมันหนัก กินไม่ไหว มันก็เลิกกินเองน่ะลูก" อ้าว
"เอาแค่นี้นะ ให้รู้ว่าสกปรกพอ สกปรกทั้งหมดแหละ อย่าไปคิดว่า
ไอ้นี่สะอาด เปล่าหรอก มันสกปรก กินของสกปรก ร่างกายมันก็สกปรก
เป็นธรรมดา มันไม่มีร่างกายของใครสะอาดหรอก สกปรกเหมือนกัน"
สรุปว่า หนูยังกินได้ตามปกติใช่ไหมคะ? ที่เป็นแบบนี้ มันเป็นกรรมใช่ไหม?
"เย้.." ไปฉลองดีกว่า


