"เนื้อคนรสชาติไม่น่าจะเอาอ่าว เพราะว่าอาตมาเผาศพมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน กลิ่นเหม็นเขียวแปลก ๆ กลิ่นไม่ได้น่าชวนกิน พอได้กลิ่นก็รู้เลยว่าเนื้อคน แต่ถ้ากลิ่นไม่ชวนกิน รสชาติดี ก็น่าจะพอกล้อมแกล้มลงไปได้
อีกรายหนึ่งเป็นสมัยพุทธกาล ตอนนั้นพระท่านป่วย โยมเขาปวารณาไว้ว่า ถ้าต้องการอะไรขอให้บอก พระท่านบอกโยมว่าต้องการน้ำต้มเนื้อ ก็คือซุป ปรากฏว่าเป็นวันเดียวกับที่เขาไม่ฆ่าสัตว์ โยมเลยปาดเนื้อขาอ่อนตัวเองต้มซุปถวายพระ พอพระฉันเข้าไปก็หายป่วย พอหายป่วยออกบิณฑบาต เห็นว่าโยมออกมาใส่บาตรไม่ได้ ก็เลยถาม โยมก็ต้องสารภาพว่า เอาเนื้อขาตัวเองต้มซุปให้พระ ทำให้บาดเจ็บออกมาใส่บาตรไม่ได้
พอพระท่านกลับไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยมโยมคนนั้น ด้วยพุทธานุภาพทำให้เนื้อปิดสนิทกลับหายดีตามเดิม จึงออกมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าถึงได้มีบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีประเภทเชือดอีกคนละชิ้นสองชิ้น แล้วจะยุ่ง
ท่านห้ามเอาไว้ ๑๐ อย่าง มี เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้อหมี เนื้องู เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อราชสีห์"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2011 เมื่อ 17:49
|