ถ้าเมื่อใดที่ท่านเริ่มทำตัวเป็นกันเองกับศีล ขอให้รู้ว่าตอนนั้นแย่แล้ว เพราะว่าทันทีที่เราทำตัวเป็นกันเองกับศีล เดี๋ยวเราก็ต้องล่วงศีล ในเมื่อเราล่วงศีล ทำให้ศีลขาดตกบกพร่องไป ครั้งหน้าต่อไปถ้ามีโอกาสก็จะขาดอีก เพราะจะมีข้ออ้างเข้ามาว่า คราวที่แล้วยังไม่เป็นไร คราวนี้ขาดอีกสักหน่อยก็ได้ แล้วเราก็จะห่างความดีไปเรื่อย
ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ จึงจำเป็นที่จะต้องทำตัวเป็นผู้ใหม่ จิตของเราต้องมีความตื่นรู้อยู่เสมอ ต้องแสวงหาความก้าวหน้า ขวนขวายปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้เต็มที่เต็มกำลังของเรา เมื่อทำได้เต็มที่เต็มกำลังแล้ว ผลดีย่อมจะเกิดขึ้นเอง
สำหรับตอนนี้ก็ขอให้ทุกคนกำหนดในกองกรรมฐาน คืออานาปานุสติ ได้แก่ ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา
หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนาที่เราชอบ จะเป็นพุทโธก็ได้ นะมะพะธะก็ได้ พองหนอ-ยุบหนอก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้ แล้วแต่ว่าเราถนัดอย่างไหน
สาระสำคัญก็คือเอาสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ให้ทัน ๆ กันไป ก็คือว่าหายใจเข้าไปถึงจุดไหน ให้กำหนดรู้ติดตามไป หายใจออกมาจุดไหน ให้กำหนดรู้ติดตามไป ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลง ให้รู้ว่าเบาลง ถ้าคำภาวนาและลมหายใจหายไป ให้รู้ว่าคำภาวนาและลมหายใจหายไป
ถ้ากำหนดภาพพระอยู่ หรือกำหนดพระนิพพานอยู่ ก็เอาจิตจดจ่ออยู่กับภาพพระหรือพระนิพพานนั้น ถ้าท่านใดสามารถยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานได้ ก็ให้ยกจิตขึ้นไปกราบพระข้างบน เอาใจจดจ่อตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะได้รับสัญญานบอกว่าหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๔
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2011 เมื่อ 02:02
|